"ผ้ากรอมา" กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนยูเนสโกเป็น "มรดกทางวัฒนธรรม" ชิ้นใหม่
ผ้ากรอมา (Krama) จากกัมพูชาก้าวสู่สายตาโลก ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติชิ้นใหม่ พร้อมย้อนไทม์ไลน์ไทยเสนอ "ผ้าขาวม้า" ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ต่อยูเนสโกเช่นกัน!
ถ้าพูดถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างหนึ่ง "ผ้าขาวม้า" ก็คือความภาคภูมิใจที่อยู่คู่ประเทศไทยมานานหลายยุคสมัย แต่ละท้องถิ่นในประเทศต้องมีไว้ใช้ จนกลายเป็นผ้าสามัญประจำบ้าน ในวันที่ 28 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไทยได้ประกาศความตั้งใจที่จะยื่นเสนอ ‘ผ้าขาวม้า’ ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งต่อมาทางก็กัมพูชาก็เตรียมยื่นรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ผ้ากรอมา’ (Krama) มีการตรวจสอบเอกสารก่อนยื่นเรื่องในวันที่ 21 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ขึ้นทะเบียนผ้าพันคอทอมือดังกล่าวนี้ลงในรายการ มรดกทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้
และถึงแม้คำขอจะเป็นรายการเดียวกันก็ตาม แต่กัมพูชายินดีที่จะยื่นขอขึ้นทะเบียน เนื่องจากยูเนสโกไม่ได้จำกัดการขึ้นทะเบียน ในความเป็นจริง ยูเนสโกสนับสนุนให้มีการจดทะเบียนร่วมกันของมรดกทางวัฒนธรรมทั้งหมด เพื่อที่จะสามารถร่วมกันปกป้องวัฒนธรรมเหล่านั้นได้
แต่ล่าสุดเหมือนเกมจะพลิกแม้ไทยเองจะส่ง "ผ้าขาวม้า" เสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ แต่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่ผานมา องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้มีการขึ้นทะเบียน "ผ้ากรอม้า" เป็นมรดกทางวัฒธรรมตามที่ประเทศกัมพูชาได้มีการยื่นขอไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา
ผ้ากรอมา หรือ (Krama) เป็นผ้าพันคอทอมือและ เป็นเครื่องแต่งกายดั้งเดิมของกัมพูชา ถือเป็นของจำเป็นสำหรับชาวเขมรยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มในชีวิตประจำวันอื่นๆ ผ้ากรอมามีทั้งที่ทำจากฝ้ายและไหม ส่วนใหญ่จะทอเป็นลายตารางหมากรุก โดยแต่ละจังหวัดของกัมพูชาจะผลิตผ้ากรอมาออกมาในรูปแบบเฉพาะของตน ผ้ากรอมีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ไม่ว่าจะใช้กันแดด กันลม ห่มกันหนาว กางกันฝน ใช้พันแผลบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือนำมานุ่งเป็นโสร่ง ถกเขมรขึ้นมาแทนกางเกงขาสั้น นอกจากนี้ผ้ากรอมายังถูกนำมาใช้เป็นผ้าอเนกประสงค์ไว้ห่อหิ้วของสารพัดเช่น ห่อเด็กทารกอุ้มกระเตงไปทำงาน นำมาห่อของสำหรับการจ่ายตลาด หรือแม้กระทั่งนำมาผูกขึงเป็นเปลนอน
สำหรับวัฒนธรรมการแต่งกายของกัมพูชานั้น ในอดีตนิยมใช้ผ้านุ่ง หรือ สมปต ซึ่งถือเป็นเครื่องแต่งกายที่พบเห็นได้ทั่วไปในกัมพูชามาตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งการนุ่งห่มร่างกายช่วงล่างด้วยผ้าผืนเดียวแบบนี้ สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคฟูนันที่ได้รับอิทธิพลการแต่งกายมาจากอินเดีย อาจจะมีการประยุกต์นุ่งแบบโจงกระเบน และเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกันออกไปมาทอเป็นผ้านุ่งขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละกลุ่มคน