ไลฟ์สไตล์

ถูกยึดเงินมัดจำ

ถูกยึดเงินมัดจำ

20 พ.ค. 2553

ตอนนี้ดิฉันทุกข์มาก เพราะได้เช่าห้องเปิดร้านเสริมสวย โดยวางมัดจำ 10,500 บาท ค่าเช่า 3,500 มัดจำ 7,000 บาท อยู่มา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 50 - 30 พ.ย. 52 เจ้าของบ้านมาบอกฉันเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ว่า ให้ย้ายออก จึงไปหาที่อยู่ใหม่ที่โคราช

 วันที่ 15 ธ.ค. ลูกชายโทรมาบอกว่า เจ้าของบ้านเอากุญแจมาล็อกไม่ให้เข้า ฉันจึงพยายามหาที่อยู่และเงินเพื่อย้ายบ้านจนได้วางมัดจำไว้ที่โคราช กลับมาอีกทีวันที่  8 ก.พ. เพราะคิดว่า ตนเองมีเงินมัดจำอยู่ และในสัญญาระบุไว้ว่า สามารถหักเป็นค่าเช่าที่เราค้างชำระได้ จึงนิ่งนอนใจ
 ปรากฏว่า ร้านที่เช่าถูกเจ้าของบ้านรื้อของภายในร้าน และเจ้าของบ้านไม่ยอมให้ฉันขนของ และบอกให้เอาเงินมาไถ่ 35,000 บาท พร้อมด่าฉันด้วยคำหยาบคาย
 ฉันไปปรึกษาทนาย และขึ้นศาล วันที่ 14/5/2010 ดิฉันแทบจะไม่ได้พูด ขณะที่ทางโน้นให้ลูกสาวพูดแทนตลอด สุดท้ายเจ้าของบ้านยอมคืนของให้ แต่มอเตอร์ไซค์และเฟอร์นิเจอร์ที่เขาโทรแจ้งให้ร้านและบริษัทมายึดของฉันต้องสูญเปล่า เงินที่วางมัดจำร้านใหม่ก็ถูกยึด เงินที่เตรียมเพื่อเปิดร้านใหม่ก็หมดไป แถมต้องจ่ายค่าทนายเพื่อฟ้องเอาของตนเองคืน และในวันที่ 19/5/2010 ต้องไปขึ้นศาลอีก ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
 อาภาพัชร์
 ตอบ
 ศูนย์ปรึกษากฎหมายชุมชน อาจารย์ปราชญา  อ่อนนาค คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต แนะนำเรื่องนี้ว่า จากข้อมูลที่ให้มา ขอพูดในส่วนของการเช่าว่า ควรย้อนกลับไปดูที่สัญญาที่ทำการเช่ากันไว้แต่แรก ว่า สัญญานั้น ได้มีการกำหนดระยะเวลาในการเช่าหรือไม่ ถ้าไม่มี ผู้ให้เช่าก็มีสิทธิที่จะยกเลิกการบอกเช่าได้  แต่ต้องบอกล่วงหน้าหนึ่งเดือน
 เมื่อเจ้าของบ้านได้บอกแล้ว แต่ยังไม่ได้ย้ายออกก็ต้องไปดูในสัญญาอีกเช่นกัน ว่า มีการระบุไว้ชัดเจนหรือไม่ว่า ให้สามารถครอบครองทรัพย์สินของผู้เช่าได้หรือไม่ ซึ่งในทางกฎหมายแล้ว การครอบครองในที่นี้ หมายถึง การครอบครองเพื่อสิทธิยึดเหนี่ยว เพื่อให้ผู้เช่ามาชำระเงินคืนให้เท่านั้น แต่ไม่มีสิทธที่จะเอาทรัพย์สินของผู้เช่าไปจำหน่าย หรือ ยกให้ใครได้
 กรณีของคุณอยากให้กลับไปดูที่ตัวสัญญาเช่า ว่า มีการระบุรายละเอียดมากน้อยแค่ไหน
 ส่วนเรื่องที่ต้องไปขึ้นศาลอีกครั้งหนึ่งนั้น รายละเอียดที่ให้มานั้นยังไม่ชัดเจน แล้วเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ถ้าอย่างไร ติดต่อได้ที่ศูนยฯ เพื่อจะได้ให้ข้อมูลนี้ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
 ลุงแจ่ม