
ปั่นจักรยานแก้กรรม..ขึ้นเขาใหญ่
คำเชิญชวนของ ครูแหลม เรื่องปั่นจักรยานแก้กรรมขึ้นเขาใหญ่ครั้งที่สาม เล่นเอาท้องไส้ผมปั่นป่วนชวนหืนอย่างปัจจุบัน ไม่รู้ว่าตัวเองไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ จึงต้องคอยแก้กรรมกับเขาใหญ่ติดๆ กัน จนถึงครานี้เป็นหนที่สามเข้าไปแล้ว
“อะไรที่เราทำไม่สำเร็จ มันจะค้างคาใจไปจนวันตายเลยนะ” ครูแหลมอธิบายหลักการและเหตุผลของงานนี้
“ครั้งก่อนตรงทางขึ้นด้านปากช่อง เฮียชัยมันหน้าซีดหมดแรงอยู่แค่กลางทาง ก็กลัวว่าชาติหน้ามันจะต้องเกิดมาปั่นจักรยานขึ้นเขาใหญ่ไม่รู้จบสิ้น สู้ทำให้มันจบๆ ไปซะเลยในชาตินี้ อืม... อีกอย่าง เรายังไม่เคยปั่นจักรยานขึ้นเขาใหญ่ทางด้านปราจีนเลยนะ คนโง่อย่างเรามันต้องปั่นให้ครบทุกทางสิ” ขอบพระคุณเหลือกำลัง ที่ท่านไม่สร้างทางขึ้นเขาใหญ่มากมายไปกว่านี้...
ส่วนเรื่องสร้างกรรมหรือแก้กรรมนั้น ผมยังไม่ปักใจเชื่อ แต่เท่าที่รู้ สิ่งที่ครูแหลมกำลังบอก มันเป็นกรรมของผมแท้ๆ เพราะระยะทางจากด่านเนินหอม ไปสถานที่กางเต็นท์ลำตะคอง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มันยาวเฟื้อยกว่าด้านปากช่องเป็นไหนๆ
บรรดานักปั่นขาอาชีพชนิดน่องเหล็กหรือน่องปูดอาจฟังแล้วขัน
แต่ไม่ใช่นักปั่นน่องเรียวอย่างเหล่าคนโง่ ที่งานนี้อาจต้องใช้เวลาปั่นไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง!
จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เวลาใกล้เที่ยงของวันธรรมดาวันหนึ่ง คณะพรรคคนโง่ก็พากันมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงด่านเนินหอม หลังจากครูแหลมกล่าวเปิดมหกรรมปั่นจักรยานแก้กรรมอย่างเป็นทางการ แถมด้วยการบรรยายสัญญาณมือที่ "สำคัญ และ จำเป็น" ในการปั่นจักรยาน ผมก็รีบยกมือสวนทันที แล้วถามว่า... ถ้าสัญญาณมือถือพวกนั้นมันสำคัญอย่างที่บอก ทำไมเพิ่งมาสอนเอาป่านนี้
“ปั่นด้วยกันมาจนจะสองปีแล้วพี่ รถเมล์จะเฉี่ยวเอาไปรับประทานก็ตั้งหลายหน” หลายคนเห็นด้วย และพากันถามว่าถ้าเจอช้างจะทำยังไง?
“ถ้าเจอระหว่างทางขึ้นเขา แนะนำว่าให้หันหลังกลับ แล้วรีบปั่นลง หรือทางที่ดีควรยืนนิ่งๆ หายใจเบาๆ หรือจะแกล้งไม่หายใจเลยก็ได้” ครูแหลมแนะ
หลังจากขบวนจักรยานคนโง่ถูกปล่อยไปตามยถากรรม ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นการสร้างกรรมใหม่ มากกว่าจะแก้กรรมเดิม ภาพที่หลายคนเห็น... ดูแล้วก็ชวนถอนใจว่าจะปั่นถึงปลายทางกันก่อนฟ้ามืดหรือไม่...
ครูแหลม นึกครึ้มใจ เลือกเอาจักรยานพับคันเล็กมาปั่นขึ้นเขา (คนดีๆ เขาคงไม่ทำกัน)
น้านัฐ เลือกปั่นจักรยานเสือชรานิ้วล็อก เพราะเกียร์เปลี่ยนไม่ได้
ส่วนผมได้จักรยานไทยประดิษฐ์หนักอึ้งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแบกเหล็กขึ้นภูเขาไปด้วย
ทั้งหมดปั่นจักรยานในอาการส่ายไปมาคล้ายงูเมา
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไป นานๆ ครั้งจะมีรถผ่านไปสักคัน “ไหนว่ามีรถราขึ้นเขาใหญ่ยาวเหยียด ขนาดรัฐมนตรีจะหาเรื่องตัดถนนบนเขาใหญ่” ผมถามคณะพรรคระหว่างนั่งหอบซี่โครงบานอยู่ริมทาง ว่าแล้วก็นึกถึงรถบางคันในจำนวนน้อยนิดที่วิ่งผ่านไป ผู้โดยสารบางคนปรบมือให้ บ้างเป่าปาก บ้างยกนิ้วว่านายแน่มาก
ในสายตาของพวกเขา... ผมคงเป็นวีรบุรุษลดโลกร้อน หรือนักอนุรักษ์หัวรุนแรงที่ปฏิเสธเครื่องจักรที่ใช้น้ำมัน แต่ผมอยากจะบอกพวกเขาเหลือเกินว่า... “อย่ามัวแต่เป่าปากตีมือ ช่วยรับอั๊วไปที เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว โว้ย!”
หลังหยุดพักที่ น้ำตกเหวนรก บ่ายสามโมงกว่าคณะพรรคคนโง่ออกเดินทางกลางสายฝนพรำอีกครั้ง ท้องฟ้าอีกฟากของภูเขา ส่งเสียงก้องทุ้มสลับแหลม... ครืน... เปรี้ยง! ทิวทัศน์กลางป่าเขาอย่างนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าไม่ปั่นจักรยาน ก็คงไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้
จู่ๆ ผมก็มองเห็นความสุขบนกองทุกข์อย่างนัยน์ตาเห็นธรรม หลายคนคงไม่เคยสัมผัสเขาใหญ่ในมุมมองบนหลังอานจักรยานอย่างนี้มาก่อน ก็แน่ล่ะสิ ถ้าไม่ใช่นักปั่นจักรยานตัวจริง ก็เห็นจะมีแต่คนบ้ากับคนโง่เท่านั้นแหละ!
“นั่นไง! เลนจักรยาน” ผมร้อง แสงไฟจากรถเฮียหมูที่ขับตามหลัง ทำให้ทุกคนเห็นเครื่องหมายจักรยานที่ริมทางชัด
“แปลกนะ ปั่นขึ้นมาจนใกล้จะถึงที่พัก เพิ่งจะมีทางจักรยานนี่แหละ” ผมแสร้งเย้ารัฐบาลเล่น
“อย่าเที่ยวเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนนะ!” ครูแหลมที่ปั่นตามหลังตะโกนบอก “เดี๋ยวพวกนักการเมืองได้ยิน จะหาเรื่องตัดไม้ขยายถนนทำทางจักรยานขึ้นมาข้างบน...อีก”
คณะพรรคทั้งหลายส่งเสียงหัวเราะเยาะนักการเมืองขี้ฉ้อ แล้วปล่อยให้จักรยานไหลลู่ลมลงไปตามเนินเขา เราต่างส่งเสียงครื้นเครงกังวลลั่นผืนป่าชื้นชอุ่ม สายลมเย็นจากต้นไม้หอบความสุขปะทะใบหน้า
อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงจุดหมายแล้ว...