ไลฟ์สไตล์

เทิดศักดิ์แฉต่อพระปราโมทย์น่าสงสัยหลายจุด

เทิดศักดิ์แฉต่อพระปราโมทย์น่าสงสัยหลายจุด

17 ก.ย. 2553

"พระปราโมทย์" ส่งทนายแจง ปัดถ่ายเททรัพย์ให้คนใกล้ชิด ยันใช้ชื่ออดีตภรรยาซื้อที่ตั้งแต่ต้น เพราะไว้ใจมากกว่าคนอื่น แถมเป็นพระธรรมยุต จับเงินไม่ได้ ลั่นบัญชีบริจาคโปร่งใส เหตุมีกก.-ผู้ตรวจบัญชีดูแล มีหลักฐานทุกขั้นตอน เทศน์สอนญาติโยมตามปกติ ลั่นไม่ต้องห่วงไ

หลังกลุ่มชาวพุทธรักศาสนาเข้าร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบพระปราโมทย์ ปาโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งสงสัยว่าจะมีพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเทเงินบริจาคซื้อที่ดินสำนักสงฆ์ 100 ล้านบาท เข้าบัญชีนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา ที่บวชชีอยู่สำนักสวนสันติธรรมนั้น ล่าสุดทนายความของพระปราโมทย์ได้แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้

 เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 กันยายน นายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ แถลงว่า การแถลงข่าวครั้งนี้กระทำโดยตัวแทนของผู้มาปฏิบัติธรรมในสวนสันติธรรม มิใช่เกิดจากเจตนารมณ์โดยตรงของพระปราโมทย์ ด้วยเหตุว่าปัจจุบันมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่กระทำการโดยมีเจตนาจะทำลายชื่อเสียงอันดีงามของพระปราโมทย์ และสวนสันติธรรม จึงมอบหมายให้แถลงข้อเท็จจริงขึ้น

 นายธนเดชกล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสวนสันติธรรมนั้น ได้จัดตั้งขึ้นมาตามความประสงค์ของผู้มีจิตศรัทธาต่อพระปราโมทย์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และศึกษาธรรมของผู้ที่มีจิตศรัทธา และความประสงค์จะเข้ามาศึกษาธรรมตามแนวทางของพระปราโมทย์ ในช่วงแรกได้จัดตั้งขึ้นเป็นศูนย์ศึกษาปฏิบัติธรรมซึ่งไม่ใช่นิติบุคคล ในการดำเนินการจัดสร้างนั้นเริ่มต้นด้วยการจัดซื้อที่ดิน ในช่วงของการซื้อที่ดินพระปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช เนื่องจากไว้วางใจมากกว่าคนอื่น จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุชเป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้ในภายหลังแต่อย่างใด

 "พระปราโมทย์จำพรรษาอยู่ที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ต่อมาในปี 2548 คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ได้พยายามขอสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ถวาย โดยตกลงกันว่าคุณฐิตินาถและครอบครัวจะรับภาระค่าใช้จ่ายเอง เนื่องจากพระปราโมทย์ไม่ชอบการเรี่ยไร ต่อมาคุณฐิตินาถได้แจ้งให้ทราบว่า จำเป็นต้องขอเรี่ยไรเงินค่าซื้อที่ดินประมาณ 6 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ คุณฐิตินาถและครอบครัวจะรับผิดชอบเอง พระปราโมทย์จึงยินยอม" ทนายระบุ

 ทนายความระบุว่า ในการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง ตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก ซึ่งสวนสันติธรรมก็ไม่เคยมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากตามข่าว หรือไม่เคยมีเรื่องการยักย้ายทรัพย์สินตามที่เป็นข่าว และในการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว ยกเว้นในช่วงแรกที่ น.ส.ฐิตินาถวางมือก่อนสร้างสวนสันติธรรมเสร็จ โดยบัญชีเงินรับบริจาคของสวนสันติธรรม มีพัฒนาการเป็น 3 ระยะคือ

 1.ระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับน.ส.ฐิตินาถ ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดย น.ส.ฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่าย เนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และนายธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย ในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและน.ส.ฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม

 2.ระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง น.ส.ฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงเดือนธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจากน.ส.ฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ในนามของแม่ชีอรนุช นายอภิชาติ อัศวเรืองชัย และนายชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้นายอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย ทั้งนี้ ตั้งแต่นายอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2553 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด

 ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของนายสุรพล สายพานิช นายธนา รุจิพัฒนกุล และน.ส.กนิษฐะวิริยา ต.สุวรรณ แม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้นายสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย

 สำหรับเงินบริจาคของสวนสันติธรรมจะมาจาก 2 ทาง คือ ส่วนที่มีผู้บริจาคเข้าบัญชีโดยตรง และจากญาติโยมที่เข้ามาฟังธรรมและได้บริจาคแด่สงฆ์ที่อยู่ในสวนสันติธรรมเพื่อบำรุงสวนสันติธรรม ซึ่งเงินในส่วนที่สองนี้จะมีอาสาสมัครคอยดูแลและตรวจนับ มีการลงรายการรับไว้ครบถ้วน และทางสวนสันติธรรมจะมีการใช้เงินอย่างมีระบบ เอกสารการเบิกจ่ายครบถ้วนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

 ทนายความยังชี้แจงด้วยว่า การที่พระปราโมทย์ได้มอบหมายให้แม่ชีอรนุช รับมอบอำนาจดำเนินการควบคุมการเบิกจ่ายเงินของสวนสันติธรรมแทน และดูแลบัญชีเป็นบางคราว เนื่องจากพระปราโมทย์เป็นพระในสายของธรรมยุติกนิกาย ไม่สามารถจับต้องหรือเก็บเงินทอง หรือซื้อทรัพย์สินใดๆ เองได้ทั้งสิ้น และในสวนสันติธรรมไม่มีอุบาสกอยู่ประจำ จึงจำเป็นที่จะต้องให้แม่ชีอรนุชดูแลแทน และที่ผ่านมาแม่ชีก็ได้ร้องขอต่อพระปราโมทย์บ่อยครั้งที่จะให้หาคนมาทำงานแทน เพื่อแม่ชีจะได้บำเพ็ญภาวนาได้เต็มที่ต่อไป

 "เหตุที่ต้องให้ฆราวาสดูแลการเบิกจ่ายเงินนั้น ก็เนื่องจากสวนสันติธรรมเป็นที่พักสงฆ์ของพระธรรมยุต พระดูแลเงินเองไม่ได้เพราะผิดพระวินัย และในสวนสันติธรรมมีผู้ที่ไม่ใช่พระซึ่งอยู่ประจำเพียง 2 คน คือแม่ชีอรนุชกับนายชยาทร เตชะไพบูลย์ เท่านั้น ซึ่งทั้งสองคนจำเป็นต้องแบ่งงานกันทำ เมื่อสวนสันติธรรมได้ขอตั้งเป็นวัดแล้ว จะต้องหาไวยาวัจกรใหม่ซึ่งจะเป็นผู้ชาย ขณะนี้ได้ทาบทามผู้ที่สงฆ์ไว้วางใจได้ไว้แล้ว"

 นายธนเดชยังชี้แจงว่า สำหรับเงินบริจาคใส่ตู้ถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรมนั้น จะมีขั้นตอนการทำงานดังนี้คือ 1.มีการตรวจนับหน้าตู้ทุกวันที่เปิดสวนสันติธรรม โดยทีมงานอาสาสมัครซึ่งก็คือผู้ที่มาฟังธรรมนั่นเอง เมื่อตรวจนับแล้วจะลงยอดรายรับในแต่ละวันแล้วส่งยอดพร้อมตัวเงินให้แม่ชีอรนุช 2.แม่ชีอรนุชจะรวมยอดรายรับแต่ละวันไว้ 3.เมื่อมีผู้เบิกค่าใช้จ่ายภายในสวนสันติธรรม จะต้องนำหลักฐานการเบิกจ่ายไปแสดงต่อแม่ชีอรนุชเพื่อขอรับเงิน 4.เมื่อมีเงินสดคงเหลือจำนวนหนึ่ง แม่ชีอรนุชจะนำเข้าฝากในบัญชีของสวนสันติธรรมเป็นระยะๆ (เงินในบัญชีแทบไม่เคยเบิกจ่ายเลย) 5.เมื่อถึงสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะต้องส่งรายการรายรับรายจ่ายทั้งเดือนให้นายสุรพล สายพานิช เพื่อลงบัญชีและมีผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างเป็นระบบ

 นอกจากนี้ เกี่ยวกับที่ดินของสวนสันติธรรมตามที่เป็นข่าว ภายหลังจากที่จัดสร้างสวนสันติธรรมแล้วเสร็จ ในช่วงแรกมีผู้เห็นว่าการตั้งเป็นวัดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก และในตอนนั้นยังไม่เหมาะสมจึงยังไม่ดำเนินการ และต่อมาในเดือนมกราคม 2553 เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวและพร้อมแล้ว พระปราโมทย์ก็ได้ให้แม่ชีอรนุชยื่นเรื่องขอยกที่ดินแปลงที่เป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมให้มีการจัดตั้งเป็นวัดแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 โดยทำสัญญากับนายอำเภอศรีราชา และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอนุญาตต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สวนสันติธรรมมีฐานะเป็นวัดต่อไป

 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่สวนสันติธรรมตั้งแต่ช่วงเช้า พบว่า มีญาติโยมจำนวนมากเข้าไปรับฟังการบรรยายธรรมของพระปราโมทย์ตามปกติ แต่เมื่อเสร็จสิ้นการบรรยายธรรม ญาติโยมต่างจับกลุ่มพูดคุยถึงข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แสดงท่าทีเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมาก แม้ว่าระหว่างบรรยายธรรมพระปราโมทย์จะบอกญาติโยมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ไม่ต้องเป็นห่วงอีกสักพักเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลาย

 ส่วนการแถลงข่าวของทนายความปรากฏว่า มีกองทัพนักข่าวกว่า 50 คนเดินทางมาที่สวนสันติธรรม โดยเจ้าหน้าที่ของสวนสันติธรรมได้ตั้งโต๊ะลงทะเบียนสื่อมวลชน พร้อมทั้งขอตรวจสอบบัตรสื่อมวลชนอย่างละเอียด เพราะเกรงว่าจะมีกลุ่มที่ต่อต้านแฝงตัวเข้ามาด้วย และภายในบริเวณสวนสันติธรรมได้เพิ่มกำลัง รปภ.ดูแลบริเวณพื้นที่อย่างเคร่งครัด โดยให้เข้าออกตามเวลาที่ปิดประกาศไว้ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มกำลังตำรวจอีก 20 นาย มาดูแลการแถลงข่าวด้วย หลังจากนายธนเดชแถลงข่าวเสร็จ ก็ได้เดินออกจากห้องแถลงข่าวโดยไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถามแม้แต่คำถามเดียว

 จากนั้นที่มูลนิธิบ้านอารีย์ นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ติดต่ามข่าวเกี่ยวกับสวนสันติธรรม นายไกรสร เรียนศรี อดีตลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ และนายวีรณัฐ โรจนประภา ประธานมูลนิธิบ้านอารีย์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่ทนายความของหลวงพ่อปราโมทย์ ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในการจัดตั้งสวนสันติธรรม

 นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า การออกมาแถลงข่าวของทนายความนั้น มีจุดสังเกตหลายข้อว่าเป็นการกล่าวอ้าง ซึ่งไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นคำพูดของหลวงพ่อปราโมทย์จริงหรือไม่ เช่น คำแถลงข่าวในครั้งนี้ไม่ใช่เกิดจากเจตนารมณ์โดยตรงของหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งถ้าหลวงพ่อบริสุทธิ์ใจจริง ก็น่าจะออกมาแถลงข่าวด้วยตนเอง อีกทั้งจากการติดตามดำเนินงานจัดตั้งสวนสันติธรรม ทำให้เห็นว่าข้อเท็จจริงบางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เคยรับทราบมา ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวพิสูจน์แล้วเป็นความจริง จะนำมาซึ่งความเสียหายต่อวงการศาสนาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การแถลงข่าวของตนในครั้งนี้ ไม่ได้ออกมาตอบโต้ ซึ่งหากพิสูจน์แล้วว่าหลวงพ่อถูกต้อง ไม่ได้กระทำผิด ตนและกลุ่มคนที่เรียกร้องก็ยินดีไปขอขมา

 นายไกรสร อดีตลูกศิษย์ กล่าวว่า เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เมื่อปี 2542-2553 ซึ่งหลังจากได้ร่วมในระบบการสอนของหลวงพ่อ มีหลายข้อที่เกิดความสงสัย เช่น การแสดงอภินิหาร การอ่านใจ รวมไปถึงคำชี้แจงของหลวงพ่อถึงบัญชีของสวนสันติธรรม ที่มีเพียง 3 ล้านบาท ทั้งที่จริงแล้วน่าจะมีมากกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเกิดความสงสัยว่าเงินที่เหลือหายไปไหน

 นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการสร้างกุฏิของหลวงพ่อกับแม่ชีอรนุช ที่อยู่บนพื้นที่เดียวกัน ห่างกันเพียง 60 เมตร โดยมีการขอให้สร้างพิเศษในช่วงออกแบบ ให้หน้าต่างของทั้งสองกุฏิมองเห็นกันได้ตลอดเวลา โดยไม่ให้มีต้นไม้หรือสิ่งกีดขวาง และได้กำหนดให้บริเวณดังกล่าว เป็นบริเวณหวงห้ามพิเศษ ถูกตัดขาดจากภายนอก มีต้นไม้ทึบอยู่โดยรอบ และอยู่แยกจากบริเวณของพระและแม่ชีในวัด รวมถึงการกล่าวอ้างชื่อของหลวงพ่อมนตรี ให้เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างวัดในสวนสันติธรรม และยกอ้างในหลายๆ เรื่อง ซึ่งหลวงพ่อมนตรีเคยออกมาแถลงแล้วว่าไม่เคยเป็นผู้ริเริ่ม และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างแถลงข่าว ได้ต่อโทรศัพท์ถึงอดีตกรรมการสวนสันติธรรมอีกคนหนึ่ง ที่ชื่อสุวรรณี โดยเล่าถึงเรื่องที่แม่ชีนุชมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น วิธีการออกกำลังกายของแม่ชีและหลวงพ่อ  ส่วนที่ตัดสินใจลาออกจากการเป็นกรรมการสวนสันติธรรมนั้น เพราะได้รับข้อมูลจากครูบาอาจารย์หลายคน และเห็นพฤติการณ์หลายอย่างของพระปราโมทย์ ทำให้คิดว่าต้องโดนหลอกแน่ๆ

 "การเข้าไปในกุฏิของพระปราโมทย์ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะปกติจะให้คนสนิทที่ได้รับอนุญาตเข้าไปเป็นครั้งคราว และถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถก้าวเข้าในพื้นที่พิเศษนั้นได้ ส่วนเรื่องของบัญชีเงินสวนสันติธรรม เท่าที่ทราบยืนยันว่ามีมากกว่า 3 ล้านบาท และน่าจะมีมากกว่า 10 ล้านบาท" อดีตกรรมการสวนสันติธรรมกล่าว

 นอกจากนี้ในการแถลงข่าว ยังได้จัดทำเอกสารรวบรวมคำบอกเล่าของอดีตกรรมการสวนสันติธรรม และผู้ตั้งข้อสังเกตถึงพฤติการณ์บางประการของพระปราโมทย์ที่ยังเป็นข้อสงสัยว่าไม่เหมาะสม เช่น กรณีฉันมื้อที่สองช่วงหลังเที่ยง ที่ระบุว่าเป็นอาหารว่างนั้น ฉันได้หรือไม่

 ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบพฤติการของพระปราโมทย์ หลังจากที่มีผู้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดพระปราโมทย์ นั้น นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รองผู้อำนวยการ พศ. กล่าวว่า เบื้องต้นได้เข้าตรวจสอบการก่อตั้งวัดของสวนสันติธรรมแล้วพบว่า มีการยื่นเอกสารขออนุญาตการตั้งวัดเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ขั้นตอนขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการขอใบอนุญาตจัดตั้ง ดังนั้น ในส่วนการขอตั้งวัดจึงยังไม่มีการดำเนินการอนุญาตให้ตั้งได้ ส่วนกระแสข่าวที่ว่ามีบุคคลใน พศ. ให้ความช่วยเหลือและแนะนำพระปราโมทย์ให้ดำเนินการตั้งวัดเพื่อแก้ปัญหาพิพาทเรื่องที่ดินนั้น ตนไม่ทราบ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นดังที่มีการตั้งข้อสังเกต

 สำหรับขั้นตอนการตั้งวัด อันดับแรกต้องมีการยื่นเอกสารการขอจัดตั้งมายัง พศ. เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจพิจารณาเอกสารหลักฐานเบื้องต้น เมื่อผ่านการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นแล้ว ผู้ก่อตั้งวัดจึงจะสามารถดำเนินการสร้างวัด จากนั้นเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วจึงค่อยมาขอใบอนุญาตตั้งวัด โดยพศ.จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบและออกใบอนุญาตให้จัดตั้ง โดยปกติทั่วไปจะใช้เวลาในการดำเนินการทั้งสิ้นราว 4 เดือน และภายหลังได้ใบอนุญาตจัดตั้งแล้วจึงจะมีการโอนที่ดินหรือทรัพย์สิน ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีการตรวจสอบว่า มีความขัดแย้งในเรื่องที่ดินหรือไม่ หรือผู้บริจาคมีความยินยอมมอบที่ดินให้แก่ทางวัดหรือไม่

 "หลังจากยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พศ. ในกรณีดังกล่าวนั้น จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะปกครอง คือเจ้าคณะจังหวัด และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชลบุรี ไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่มีการร้องเรียน อาทิ กรณีการโอนที่ดินและเงินบริจาคให้แก่อดีตภรรยาของพระปราโมทย์ รวมทั้งการเทศน์และการสอนที่ระบุว่า บิดเบือนและไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ดีหากระหว่างนี้มีบุคคลใดนำเรื่องไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดี พศ.ก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องและจะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ก็พร้อมปฏิบัติตามหากในที่สุดมีการพิจารณาความตัดสินโดยคำสั่งของศาล” นายนพรัตน์ กล่าว

 ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการตรวจสอบพระปราโมทย์ว่า ได้สั่งการให้ดีเอสไอส่วนภูมิภาคประจำการอยู่ใน จ.ชลบุรี เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนพุทธศาสนิกชน ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าที่ชัดเจน จึงไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเพราะเกรงจะกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในพุทธศาสนา
 พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ดีเอสไอไม่เคยเข้าไปสืบสวนกรณีความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการรับบริจาคของสวนสันติธรรม รวมทั้งไม่มีข้อมูลระบุถึงความขัดแย้งหรือขัดผลประโยชน์ภายในของกลุ่มลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดกับพระปราโมทย์ แต่ยืนยันว่า ดีเอสไอจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นพระดีก็ต้องปกป้อง