ไลฟ์สไตล์

พระบรมฯทรงเปิดมหาวิทยาลัย"มจร."

พระบรมฯทรงเปิดมหาวิทยาลัย"มจร."

04 ธ.ค. 2553

สมเด็จพระบรมฯทรงเปิดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ และทรงเปิดอาคาร ม.ว.ก. 48 พรรษา ณ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทรงรับการถวายของที่ระลึกจากสมเด็จพระสังฆราชกัมพูชา พระอุทุกกมะ ศรีพุทธรักขิตะ มหานายกะ แห่งสยามนิกายฝ่ายอัสคีรีประ

เมื่อเวลา 15.05 น.วันที่ 3 ธันวาคม 2553 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ไปทรงประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและเปิดอาคาร ม.ว.ก. 48 พรรษา  อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีนายวิทยา   ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา       พลตรี สนั่น  ขจรประศาสน์  รองนายกรัฐมนตรี นายศุภชาติ  ถิ่นพังงา  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพลตรี ประพนธ์  ศักดิ์สุภา    ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสระบุรี พลตำรวจเอก อัศวิน  ขวัญเมือง  รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1  และคณะกรรมการจัดงาน ฯ เฝ้ารับเสด็จ

 ในการนี้ทรงรับการถวายของที่ระลึกจากสมเด็จพระอัครมหาสังฆราชาธิบดี เทพวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา, พระอุทุกกมะ ศรีพุทธรักขิตะ มหานายกะ แห่งสยามนิกายฝ่ายอัสคีรี ประเทศศรีลังกา, ผู้แทนประมุขสงฆ์ จากประเทศต่าง ๆ และผู้แทนวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย จากนั้นทอดพระเนตรนิทรรศการแสดงประวัติ และพัฒนาการของมหาวิทยาลัย ซึ่งจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต, หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตนานาชาติ, หลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต และหลักสูตรประกาศนียบัตร


มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทย  ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์  พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  5  ได้ทรงสถาปนาขึ้น  ณ  วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์  กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง สำหรับพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์  เมื่อ พ.ศ.  2430  เป็นต้นมา  และต่อมา พ.ศ. 2540  รัฐสภาได้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ให้สถาบันการศึกษาแห่งนี้เป็นนิติบุคคล  และมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ

เมื่อนายแพทย์รัศมีและคุณหญิงสมปอง วรรณิสสร ทราบว่ามหาวิทยาลัยมีสถานะเป็นนิติบุคคลสามารถรับบริจาคที่ดินได้ จึงถวายที่ดินจำนวน 84 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา ณ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแก่มหาวิทยาลัย เพื่อจัดสร้างเป็นศูนย์กลางการบริหารของมหาวิทยาลัย โดยผู้มีจิตศรัทธาทั้งสองได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายโฉนดที่ดินแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร  เพื่อพระราชทานแก่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่  9  กรกฎาคม  พ.ศ.2542  ต่อมาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร   ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในบริเวณที่ดินดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พุทธศักราช 2542

นับแต่นั้นเป็นต้นมาพระธรรมโกศาจารย์  อธิการบดี  และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ  ได้ดำเนินการก่อสร้างศูนย์กลางการบริหารของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ณ สถานที่ที่ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์แห่งนี้   พร้อมทั้งระดมทุนจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติม  จนกระทั่งปัจจุบันมีที่ดินรวมทั้งสิ้น 323 ไร่

การก่อสร้างดำเนินไปด้วยดีตามลำดับ  ทั้งนี้ก็ด้วยการสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาล  รวมทั้งการระดมทุนอุปถัมภ์การก่อสร้าง   และการบริจาคโดยตรงจากผู้มีจิตศรัทธา  ที่สำคัญประกอบด้วย  สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  วัดปากน้ำภาษีเจริญ  พระวิสุทธาธิบดี  วัดสุทัศนเทพวราราม

พระพรหมมังคลาจารย์  วัดชลประทานรังสฤษดิ์  พระราชพิพัฒน์โกศล    วัดศรีสุดาราม  นางยุวรี  เอื้อกาญจนวิไล   นายศักดิ์ชัยและนางสุดาวรรณ เตชะไกรศรี โดยใช้งบประมาณค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปแล้วทั้งสิ้น 2,100,000,000 บาท (สองพันหนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ขยายพื้นที่เพิ่มเติมเป็น 325 ไร่ ขณะนี้ กำลังดำเนินการจัดสร้างวิทยาลัยพระพุทธศาสตร์นานาชาติเพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาของชาวไทยและชาวโลกต่อไป

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ย้ายสถานที่ปฏิบัติงานจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มายังสำนักงานแห่งใหม่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานเปิดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ตำบลลำไทร  อำเภอวังน้อย  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  อย่างเป็นทางการวันที่ 3 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา