เทรนด์ศัลยกรรมทั่วโลก เมื่อความสวยไม่ใช่ความลับ มูลค่าตลาดแตะ 40,000 ล้าน
เมื่อการทำ "ศัลยกรรม" ไม่ใช่ความลับ เทรนด์ทั่วโลกแห่เสริมความงาม มูลค่าตลาดฟื้นจากโควิดแตะ 40,000 ล้าน แนวโน้มขยายตัว 10-15% ต่างชาติมุ่งหน้าไทยเพิ่ม 20%
ตราบใดที่ผู้คนยังคงหลงใหลและให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง และโอกาสที่จะได้รับงานที่ใช้รูปร่างหน้าตาผ่านด่านค่าตอบแทนสูงก็มีโอกาสยิ่งขึ้น และสังคมให้การยอมรับ การทำ "ศัลยกรรม" จึงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ดังนั้น ไม่แปลกที่มูลค่าตลาดศัลยกรรมทั่วโลกแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"มูลค่าตลาดศัลยกรรม" เฉพาะในประเทศไทยปีนี้ (ปี 2566) "นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล" แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันการทำ "ศัลยกรรม" ไม่ใช่ความลับ คนที่ทำสามารถเปิดเผยได้ สังคมให้การยอมรับ แพทย์ไทยมีความสามารถไม่เป็นรองชาติใดในโลก
และด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์มีนวัตกรรมใหม่ๆ ช่วยให้การทำ "ศัลยกรรม" เจ็บน้อยลง ใช้เวลาสั้นลง เช่น การดึงหน้าจากเดิม 1 เคสใช้เวลาทั้งวัน แต่ปัจจุบันแค่ 3-4 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว เป็นต้น
"ดึงหน้าตอนนี้ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ คนที่มารับบริการอายุน้อยลงเรื่อยๆ ภาพเดิมในอดีตคนที่ "ศัลยกรรม" ดึงหน้าต้องเป็นผู้สูงอายุ แต่ทุกวันนี้อายุ 40 ปีก็รับบริการแล้ว ส่วนหนึ่งอาจมาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยย่นระยะเวลาทำศัลยกรรม
อีกทั้ง ยังมีนวัตกรรมเสริมสะโพกด้วยซิลิโคนมาแทนการฉีดสารเพื่อเติมเต็ม เหล่านี้ทำให้ "มูลค่าตลาดศัลยกรรม" ของไทยสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัว 10-15%" ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด อธิบาย
เช่นเดียวกับ บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) ผู้ประกอบการ "อุตสาหกรรมความงาม" ออกมาคาดการณ์ว่า ในปี 2566 "มูลค่าตลาดศัลยกรรม" ความงามไทยจะมีมูลค่าแตะถึง 40,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 มูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นปีที่สถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลาย
สำหรับ "มูลค่าตลาดศัลยกรรม" ก่อนไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาด ปี 2562 มีรายงานว่า "มูลค่าตลาดศัลยกรรม" ทั่วโลกมีตัวเลขสูงกว่า 21 ล้านล้านบาท ขณะที่ของไทยปีนี้เฉียด 55,000 ล้านบาท โตไม่ต่ำกว่า 20% ทุกปี "ศัลยกรรม" ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ทำจมูกใหม่
สอดคล้องกับข้อมูลของ "การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" (ททท.) ปีนี้ 2566 จัดลำดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านความงามอันดับที่ 3 ของเอเชีย สามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการด้านความงามและ "ศัลยกรรม" จากเทคนิคที่ดี และความเชี่ยวชาญของแพทย์ จึงทำอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามจะสร้างเม็ดเงินให้แก่ประเทศไทย
"นพ.ธนัญชัย" บอกอีกว่า มูลค่าการขยายตัวตลาด "ศัลยกรรม" ขยายตัวไม่เฉพาะมาจากคนไทย แต่มีชาวต่างชาติ เช่น จีน ยุโรป เยอรมนี เป็นต้น สถิติเมื่อ 5-10 ปีย้อนหลัง สัดส่วนทำ "ศัลยกรรม" ระหว่างคนไทยกับชาวต่างชาติแค่ 80/20 ปัจจุบัน 60/40 ส่วนใหญ่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่เกาหลีใต้
"ผู้มาใช้บริการตอนนี้ประมาณ 3,000-4,000 พันคน ส่วนใหญ่คือ คนที่ทำกับเราและกลับมาหาเราอีก บางคนจองและจ่ายเงินมาแล้ว แต่ตรวจร่างกายไม่ผ่าน เราก็ไม่ทำให้ บางคนเดินเข้ามาติดต่อขอทำ "ศัลยกรรม" เลย แต่โรงพยาบาลไม่มีคิวให้ เพราะลูกค้าต่างชาติเยอะมาก หรืออาจเพราะตรงกับช่วงวันหยุดยาวของจีน แต่ถึงแม้มีคิวให้ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ หมอต้องประเมินก่อนว่า ทำได้ไหม ทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนทำเยอะก็ไม่เหมาะ "ศัลยกรรม" ทำน้อยยิ่งดี ทำมากไม่ดี ที่สำคัญอีกอย่างคือ ทำแล้วต้องปลอดภัย เลือกทำกับสถานพยาบาลที่ได้มาตราฐาน วัสดุ อุปกรณ์คุณภาพ ถึงแม้การแพทย์ศัลยกรรม เครื่องมือแพทย์ไม่สำคัญเท่าฝีมือแพทย์ที่ต้องใช้ศิลปะของแพทย์เป็นหลัก แต่ก็ต้องให้ความสำคัญทั้งศาสตร์และศิลป์" "นพ.ธนัญชัย" อธิบาย
"นพ.ธนัญชัย" เล่าต่อว่า "ศัลยกรรม" ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับทั้งไทยและต่างชาติในขณะนี้คือ รอบดวงตา จมูก หน้าอก ดึงหน้า และดูดหรือฉีดไขมัน ซึ่งการ "ดึงหน้า" มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้บริการอายุน้อยลง สะท้อนได้ว่า ความนิยมทำ "ศัลยกรรม" มากขึ้น แต่หากเป็นชาวต่างชาติจะเลือกทำทั้งตัวราคาไม่ต่ำล้านบาท อีกอย่างที่กำลังได้รับความสนใจคือ ดูดไขมันลดความอ้วน โดยไม่ต้องผ่าตัด ผ่านนวัตกรรมศูนย์ศัลยกรรมความงามนำเข้ามาจากต่างประเทศ
"แม้ว่าความต้องการทำศัลยกรรมมีมากขึ้น แต่ในไทยยังมีการแข่งขันที่สูงมาก ต้องมีจุดแข็งเรื่องคุณภาพ เครื่องมือเรานำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ผ่านการรับรองมาตราฐาน อย.ไทย เราเลือกใช้ของคุณภาพเพื่อความปลอดภัย ราคาจึงอาจสูงตามไปด้วย และภายในปี 2568 "โรงพยาบาลบางมด" จะเปิดให้ศูนย์ศัลยกรรมความงามครบวงจร ภายใต้ชื่อ Bangmod Aesthetic & Wellness Hospital แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว และดูเป็นธรรมชาติ" "นพ.ธนัญชัย" ระบุ
Bangmod Aesthetic & Wellness Hospital เป็นอาคาร 6 ชั้น ใช้งบลงทุนทั้งหมด 3,000 ล้านบาท ให้บริการ "ศัลยกรรม" เสริมความงามครบวงจร เบื้องต้น 20-30 เตียง และพร้อมขยายได้ถึง 50 เตียงในอนาคต เน้นเจาะผู้บริโภคกลุ่มอัลตราลักชัวรี และตั้งเป้าให้ส่วน โรงพยาบาลใหม่นี้ ช่วยขยายฐานผู้มาใช้บริการในกลุ่มศูนย์ "ศัลยกรรม" ความงามเป็น 5,000-6,000 คนต่อปี เน้นการบริการเป็นส่วนตัว ไม่ทำงานผ่านเอเจนซี
"เราตั้งเป้าสร้างรายได้รวมต่อปีของกลุ่มศูนย์ "ศัลยกรรม" ความงาม และบริการเสริมความงามอื่นๆ ถึง 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 500 ล้านบาท หลังเปิดใช้งานศูนย์ Bangmod Aesthetic & Wellness Hospital แต่เรายังไม่มุ่งตอบโจทย์นานาชาติ ขอทำบ้านเราก่อน แต่ด้วยแพทย์ไทยมีศักยภาพ และจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ทำผลงานดี จึงไม่เเปลกที่ไทยจะได้รับความนิยมทั่วโลก" "นพ.ธนัญชัย" กล่าวในที่สุด
โอกาส "โรงพยาบาลบางมด" ครบรอบ 35 ปีนี้ได้ปรับเปลี่ยนสิทธิการดูแลผู้ป่วยทั้งสิทธิประกันทั่วไป กรณีผู้ป่วยไม่สบายและต้องรับการแอดมิด หากวงเงินค่าห้องไม่พอ ได้จัดแคมเปญลุ้นโชค ช่วยจ่ายค่าห้องส่วนเกิน 50% - 100%