ไลฟ์สไตล์

"แอมโมเนีย" อันตรายแค่ไหน หากสัมผัสจะมีอาการอย่างไร รักษายังไง

"แอมโมเนีย" อันตรายแค่ไหน หากสัมผัสจะมีอาการอย่างไร รักษายังไง

18 เม.ย. 2567

"แอมโมเนีย" อันตรายแค่ไหน หากสัมผัสจะมีอาการอย่างไร จะป้องกัน และ ปฐมพยาบาลยังไง จะจัดการอย่างไรเมื่อเกิดการรั่วไหล

เป็นข่าวใหญ่เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา (17 เม.ย. 2567) เกิดเหตุระเบิดดังสนั่นภายใน โรงงานน้ำแข็ง ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี "แอมโมเนีย" รั่วไหลฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 140 ราย และต้องทำการปิดโรงงานน้ำแข็ง 3-7 วัน หลังพบว่าค่าอากาศยังเกินมาตรฐาน

 

 

"แอมโมเนีย" (Ammonia) เป็นก๊าซที่กัดกร่อนไม่มีสีที่มีกลิ่นฉุนที่โดดเด่น พบได้ทั่วไปในธรรมชาติแอมโมเนียสามารถเก็บเป็นของเหลวที่ความดันสูงและละลายได้ง่ายในน้ำ แอมโมเนียฝากตัวเองในรูปแบบเปียกและแห้งบนบกพืชดินและน้ำ

 

ทางเคมี "แอมโมเนีย" คือ NH3 เมื่อไม่ได้รับไอออนและ NH4+ เมื่อแตกเป็นไอออน

 

แอมโมเนีย เป็น มลพิษทางอากาศ และสารตั้งต้นของอนุภาครอง มันรวมกับสารประกอบอื่นๆ ในชั้นบรรยากาศเช่นกรดไนตริกและซัลเฟตเพื่อสร้างเกลือแอมโมเนียมซึ่งเป็นรูปแบบที่เป็นอันตรายของอนุภาคอนุภาคละเอียด

 

 

แอมโมเนียใช้อะไร?

 

นอกเหนือจากการเป็นสารมลพิษแล้วแอมโมเนียยังเป็นสารอาหารที่มีไนโตรเจนที่มีความสำคัญซึ่งผลิตโดยพืชและการสลายตัวของสัตว์รวมทั้งถูกขับออกจากสัตว์ แอมโมเนียสามารถแปลงเป็นไนไตรต์ได้ และไนเตรต โดยแบคทีเรีย ณ จุดนี้ แอมโมเนีย ได้รับการดัดแปลงเป็นสารอาหารสำหรับพืช

 

เนื่องจากคุณสมบัติที่มี ไนโตรเจน ของ "แอมโมเนีย" ทำให้แอมโมเนียที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ 90 เปอร์เซ็นต์ใช้ในปุ๋ย แอมโมเนียยังสามารถใช้ด้วยตัวเองหรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือนซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดน้ำมันพืชและคราบไขมันสัตว์

 

การใช้งานเชิงพาณิชย์อื่นๆ สำหรับ "แอมโมเนีย" ได้แก่

 

  • พลาสติก
  • ผ้า
  • เภสัชกรรม
  • สีย้อม
  • ยาฆ่าแมลง
  • การผลิตวัตถุระเบิด
  • เครื่องทำให้ไนโตรเจน
  • การทำให้บริสุทธิ์
  • สารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ

 

 

แอมโมเนียมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างไร?

 

การสัมผัสกับ "แอมโมเนีย" ที่มีความเข้มข้นสูงในสภาพแวดล้อมอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาจมูกและลำคอเช่นเดียวกับผิวหนัง

 

ปัญหาสุขภาพระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการได้รับแอมโมเนีย ได้แก่

 

  • โรคหัวใจและหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจรุนแรง
  • ฟังก์ชั่นปอดลดลง
  • การทำให้รุนแรงขึ้นของโรคหอบหืด
  • ความตายก่อนวัยอันควร

 

"แอมโมเนีย" ยังมีส่วนช่วยในการก่อตัวของ PM2.5 ที่เป็นอันตราย จากบันทึกทางเทคนิคปี 2011 ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์นมแอมโมเนียสามารถสร้างอนุภาคในชั้นบรรยากาศผ่านปฏิกิริยาทางเคมีกับกรดซัลฟิวริกและกรดไนตริก 5 แอมโมเนียที่ผลิตโดยการปฏิบัติการปศุสัตว์เพียงอย่างเดียวอาจมีส่วนร่วม 5 % ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของ PM2.5 บรรยากาศในสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับภูมิภาคและเวลาของปี

 

ความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 ผลกระทบระยะสั้น เช่น

 

  • การเผาจมูกคอและระบบทางเดินหายใจ
  • ความเหนื่อยล้า
  • การไอ
  • การระคายเคืองจมูกและลำคอ

 

 

อันตรายจากการใช้ "แอมโมเนีย" ในโรงงานทำน้ำแข็งและห้องเย็น

 

โรงงานทำน้ำแข็ง และ ห้องเย็น มักนิยมใช้ "แอมโมเนีย" เป็นสารทำความเย็นในระบบทำความเย็นเนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับสารทำความเย็นประเภทคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) และประการสำคัญคือไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศแต่แอมโมเนียมีสมบัติความเป็นพิษในตัวเองดังนั้นการนำมาใช้ประโยชน์จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะหากเกิดการรั่วไหลอาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานในบริเวณที่มีการใช้แอมโมเนียและบริเวณใกล้เคียงได้รับอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

 

ลักษณะของแอมโมเนีย

 

"แอมโมเนีย" ที่ใช้ในระบบทำความเย็นเป็นแอมโมเนียที่ปราศจากน้ำ(Ammonia anhydrous)ทั้งที่อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวและก๊าซแอมโมเนียในสถานะก๊าซเป็นก๊าซที่ไม่มีสีมีกลิ่นฉุนรุนแรงมีความเป็นพิษสูงสามารถละลายน้ำได้ดีและมีฤทธิ์กัดกร่อนสูงและด้วยความสามารถในการละลายน้ำได้ดีถึงแม้ว่าแอมโมเนียจะเบากว่าอากาศ (น้ำหนักโมเลกุลของแอมโมเนีย = 17) แต่เมื่อมีการรั่วไหลเกิดขึ้นก๊าซ

 

แอมโมเนีย จะรวมตัวกับความชื้นในอากาศทำให้เกิดเป็นหมอกควันสีขาวของแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ซึ่งจะทำให้หนักกว่าอากาศดังนั้นเมื่อแอมโมเนียรั่วไหลในอากาศจึงมีทั้ง "แอมโมเนีย" ที่เบาและหนักกว่าอากาศอยู่ปะปนกันสามารถลุกไหม้ได้ที่ช่วงความเข้มข้นของไอระเหยระหว่าง 16-25% โดยปริมาตรแอมโมเนียสามารถลุกติดไฟได้เอง(Autoignition Temperature) ที่อุณหภูมิประมาณ 650 องศาเซลเซียสแอมโมเนียที่อยู่ในภาชนะบรรจุจะอยู่ในสถานะเป็นของเหลวภายใต้ความดันประมาณ 150 ปอนด์/ตารางนิ้วที่อุณหภูมิ - 33 องศาเซลเซียส แต่ก๊าซแอมโมเนียในภาชนะบรรจุมีสถานะเป็นของเหลวซึ่งมีอัตราการขยายตัวกลายเป็นก๊าซแอมโมเนียในอัตราส่วน 1 : 850 นั่นคือแอมโมเนียเหลว 1 ส่วนหากมีการรั่วไหลออกสู่บรรยากาศจะขยายตัวเป็นก๊าซได้ 850 ส่วน

 

 

น้ำแข็ง

 

 

อันตรายจากแอมโมเนีย

 

  • ไอระเหยของแอมโมเนียทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดแผลไหม้ต่อระบบทางเดินหายใจทำให้มีเสมหะเกิดอาการหายใจสั้นๆเจ็บหน้าอกชักหมดสติและอาจทำให้เสียชีวิตหากหายใจเอาสารนี้เข้าไปหากสัมผัสแอมโมเนียจะทำให้ผิวหนังและตาไหม้และสูญเสียการมองเห็นและถ้าสัมผัสกับแอมโมเนียในสภาพของเหลวจะทำให้เกิดแผลไหม้เนื่องจากความเย็นจัด (Cold Burn)

 

  • เนื่องจากแอมโมเนียเป็นก๊าซพิษเมื่อเกิดการรั่วไหลจึงอาจทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเสียชีวิตได้อีกประการหนึ่งเนื่องจากสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแอมโมเนียรั่วไหลพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุการระบายไอของอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยมีโอกาสเกิดสูงกว่าการระเบิดของภาชนะบรรจุแอมโมเนียเป็นอันมากดังนั้นภาชนะหรือท่อบรรจุ(Ammonia Cylinders) จึงไม่นิยมติดตั้งกลอุปกรณ์นิรภัย (Safety Devices) ทั้งนี้เพื่อมิให้มีการระบายก๊าซออกจากภาชนะบรรจุได้โดยง่ายเมื่อมีอุณหภูมิสูงดังนั้นภาชนะบรรจุแอมโมเนียจึงอาจจะระเบิดได้เมื่อได้รับความร้อนจากเพลิงไหม้เป็นเวลานานสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหากเกิดเพลิงไหม้ใกล้กับภาชนะบรรจุแอมโมเนียการหล่อเย็น(Cooling) ที่ภาชนะบรรจุหรือการเคลื่อนย้ายภาชนะบรรจุออกจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในลำดับแรกโดยทันที

 

 

อันตรายจากการสัมผัสแอมโมเนีย

 

ระดับความเข้มข้นของ "แอมโมเนีย" ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ

  • 50 ส่วนในล้านส่วนกลิ่นรุนแรงมากจนรู้สึกอึดอัด
  • 400 – 700 ส่วนในล้านส่วนแสบตาและจมูกรู้สึกระคายเคือง
  • 5000 ส่วนในล้านส่วนกล้ามเนื้อเกร็งและหายใจไม่ออกอาจเสียชีวิตได้ภายใน 2 – 3 นาที

 

 

การตรวจสอบและทดสอบภาชนะบรรจุก๊าซ

 

ภาชนะหรือท่อบรรจุก๊าซแอมโมเนียจำเป็นต้องมีการตรวจสอบสภาพและทดสอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานตามข้อกำหนดใน มอก. 358 โดยดำเนินการตรวจทดสอบเกี่ยวกับ

  • ตรวจสภาพภาชนะบรรจุเกี่ยวกับการกัดกร่อนบวมบุบหรือไฟไหม้
  • ตรวจสอบการทำงานของกลอุปกรณ์นิรภัย
  • ตรวจสอบสภาพของแกนวาล์วต้องไม่เอียงและเกลียวไม่สึก
  • ตรวจหารอยรั่วบริเวณแกนวาล์ว
  • การตรวจทดสอบท่อบรรจุก๊าซโดยละเอียด

 

ทั้งนี้การดำเนินการตรวจสอบและทดสอบดังกล่าวข้างต้นสำหรับภาชนะบรรจุที่เป็นท่อบรรจุก๊าซ (Gas Cylinder) มีวิธีการทดสอบ 4 วิธีดังนี้

 

  1. ตรวจพินิจภายนอกต้องทำความสะอาดท่อพร้อมลอกสีที่ทาท่อออกเพื่อตรวจสอบการกัดกร่อนรอยบุบรอยขูดขีดการบวมและรอยไฟไหม้
  2. ตรวจพินิจภายในต้องทำความสะอาดภายในท่อด้วยลูกเหล็กจนสะอาดดีแล้วจึงใช้แสงไฟส่องเข้าไปเพื่อตรวจสอบภายในเพื่อหาการผุกร่อนหรือหลุม
  3. ชั่งน้ำหนักท่อต้องถอดอุปกรณ์ของท่อออกทั้งหมดแล้วชั่งน้ำหนักถ้าน้ำหนักน้อยกว่าร้อยละ 95 ของน้ำหนักท่อเดิมห้ามนำท่อนั้นมาใช้งาน
  4. ตรวจทดสอบโดยการอัดน้ำ(ไฮดรอลิก) ทดสอบภาชนะบรรจุก๊าซโดยการใช้น้ำทดสอบ (Hydrostatic Test) ซึ่งมี 2 วิธีคือแบบทดสอบในถังน้ำและทดสอบในแบบถังไร้น้ำความดันที่ใช้ทดสอบประมาณ 1.3 - 1.5 เท่าของความดันใช้งานสูงสุดจากนั้นตรวจหารอยรั่วการบวมและการขยายตัวถาวรของท่อ (Permanent Expansion Test)

 

 

การป้องกันอันตรายจากแอมโมเนีย

 

  • ภาชนะบรรจุหรือระบบท่อส่งก๊าซแอมโมเนียต้องมีการออกแบบวิธีการสร้างวัสดุที่ใช้และอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปเช่น CGA (Compressed Gas Association) หรือ DIN ซึ่งเพียงพอที่จะใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
  • การเลือกสถานที่จัดเก็บแอมโมเนียที่เหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงและความเสียหายเนื่องจากการรั่วไหลหรือระเบิดได้ต้องพิจารณาติดตั้งไว้นอกอาคารบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดและความชื้นอากาศถ่ายเทได้ดีไม่มีแหล่งกำเนิดความร้อนหรือประกายไฟและเก็บให้ห่างจากสารที่อาจทำปฏิกิริยากับแอมโมเนียมีป้ายเตือนอันตรายและที่สำคัญจะต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดที่เหมาะสมติดตั้งไว้บริเวณใกล้เคียง
  • อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้กับแอมโมเนียเช่นวาล์วข้อต่อและวาล์วสกัดต่างๆต้องทำด้วยโลหะที่เหมาะสมกับแอมโมเนียเท่านั้นเช่นเหล็กเหล็กเหนียวหรือสเตนเลสห้ามใช้ทองแดงหรือทองเหลืองกับแอมโมเนียโดยเด็ดขาด
  • ตรวจสอบภาชนะบรรจุระบบท่อและวาล์วของระบบแอมโมเนียเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอและซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ
  • ในการปฏิบัติงานที่มีการใช้แอมโมเนียจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย (Safety Operation Procedures) โดยเคร่งครัดในทุกขั้นตอน
  • ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับแอมโมเนียต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสมเช่นชุดป้องกันอันตรายจากสารเคมีพร้อมทั้งอุปกรณ์ได้แก่ถุงมือหน้ากากอุปกรณ์ช่วยหายใจแล้วแต่ความจำเป็นทั้งในการระงับเหตุฉุกเฉินและในกรณีปฏิบัติงานตามปกติ
  • จัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากแอมโมเนียการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยรวมทั้งการระงับเหตุฉุกเฉินที่เกิดจากแอมโมเนียทั้งนี้ให้มีการฝึกอบรมเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการย้ำเตือนให้พนักงานตระหนักถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานกับแอมโมเนีย
  • จัดเตรียมอุปกรณ์ระงับภัยในกรณีหกรั่วไหลหรือเกิดเพลิงไหม้เช่นระบบน้ำดับเพลิงและถังดับเพลิงรวมทั้งการจัดการน้ำเสียจากการระงับเหตุเป็นต้น
  • จัดทำแผนระงับเหตุฉุกเฉินแอมโมเนียรั่วไหล / เพลิงไหม้และฝึกซ้อมแผนเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

 

 

การจัดการเมื่อเกิดการรั่วไหล

 

เนื่องจากคุณสมบัติของ "แอมโมเนีย" ละลายน้ำได้ดีหากเกิดการรั่วไหลที่วาล์วข้อต่อหรืออุปกรณ์ต่างๆสิ่งสำคัญในการจัดการการรั่วไหลก็คือพยายามฉีดน้ำให้เป็นฝอยอย่างหนาแน่นครอบคลุมเพื่อจับไอของแอมโมเนียที่ฟุ้งกระจายเป็นการสลายพิษแอมโมเนียและระวังไม่ให้ฉีดน้ำตรงจุดที่แอมโมเนียเหลวรั่วไหลอยู่พยายามเข้าไปปิดวาล์วหรือหยุดการรั่วไหลที่ต้นทางใหไ้ด้แต่ผู้ที่เข้าไปปฏิบัติการจะต้องสวม

 

ใส่ชุดป้องกันสารเคมีและอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลที่เหมาะสมเช่นหน้ากากป้องกันแอมโมเนียและเครื่องช่วยหายใจ (Self-Control Breathing Apparatus) ตลอดเวลาที่ปฏิบัติการ

 

 

การปฐมพยาบาลผู้ประสบเหตุ

 

เมื่อได้รับแอมโมเนียทางระบบหายใจ

  • เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปในบริเวณที่อากาศบริสุทธิ์
  • ถอดเสื้อให้หลวมและห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วย
  • เรียกรถพยาบาลพร้อมเครื่องให้ออกซิเจน
  • ถ้าปากและคอได้รับบาดเจ็บจากแอมโมเนียให้ผู้ป่วยดื่มน้ำช้าๆ
  • ถ้าปากและคอไม่ได้รับบาดเจ็บให้ผู้ป่วยดื่มชาหวานหรือกาแฟร้อน
  • ถ้าการหายใจล้มเหลวให้ทำการผายปอดทันที
  • ห้ามป้อนน้ำแก่ผู้ป่วยที่หมดสติโดยเด็ดขาด

 

แอมโมเนียสัมผัสตา

  • ให้ล้างตาด้วยน้ำยาล้างตาบอริก 2.5% หรือล้างด้วยน้ำสะอาดไม่น้อยกว่า 30 นาที
  • ไปพบแพทย์

 

แอมโมเนียสัมผัสผิวหนัง

  • ล้างด้วยน้ำสะอาดไม่น้อยกว่า 15 นาที
  • ใช้ผ้าชุบน้ำยาล้างตาบอริก 2.5% ปะคบบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
  • ไปพบแพทย์

 

 

ข้อมูล : IQAir / icebusiness.net