เปิด ข้อดี-ข้อเสีย "water fasting" ดื่มแต่น้ำเพื่อลดน้ำหนักแบบรวดเร็ว
วิธีลดน้ำหนักแบบเร็วรวด "water fasting" ดื่มแต่น้ำเพื่อลดน้ำหนัก มีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนักอย่างไร? บ้าง ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายไหม?
ในตอนนี้มีการกลับมาพูดถึงอีกครั้งในโลกออนไลน์กับวิธีลดน้ำหนัก “ดื่มแต่น้ำเพื่อลดน้ำหนัก” water fasting คือหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักยอดนิยมในสังคมอยู่ตลอด เนื่องด้วยผลลัพธ์ที่ค่อนข้างรวดเร็วและเห็นผลเป็นตัวเลข เป็นวิธีการอดอาหารที่เราไม่สามารถจะรับประทานอะไรได้เลยนอกจากน้ำ
water fasting คืออะไร
วิธีลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารและกินเพียงแค่น้ำเปล่าเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 24-72 ชั่วโมง ซึ่งการที่เราอดอาหารนาน ๆ จะส่งผลให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็วชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม การทำ Water Fasting ก็มีความเสี่ยงจากการที่ร่างกายขาดสารอาหารและพลังงานไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง บางคนลอง water fasting เพื่อปรับปรุงหรือรักษาสุขภาพ โดยมีความเชื่อที่ว่าจะช่วยเรื่องสุขภาพ เช่น การอักเสบลดลง ความเครียดออกซิเดชันลดลง และเพิ่มการสลายไขมัน ซึ่งก็คือการสลายของไขมัน
Water Fasting ช่วยลดน้ำหนักจริงไหม
การทำ Water Fasting ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน้ำหนักที่ไม่อันตราย หากทำในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยวิธีนี้จะกระตุ้นให้ฮอร์โมนในร่างกายให้เกิดการเผาผลาญดียิ่งขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการทำ Water Fasting ก็มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้นั่นก็คือเมื่อร่างกายเราขาดสารอาหารและพลังงานอย่างต่อเนื่อง จะเกิดการดึงพลังงานที่สะสมอยู่ในรูปของไขมันมาใช้ เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตอันเป็นพลังงานหลักที่เราใช้
ต้องดื่มน้ำให้เพียงพออย่าออกกำลังกายหักโหม
ขณะที่ทำ Water Fasting ต้องอดอาหาร สิ่งสำคัญคือต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำ อย่างเพียงพอ โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักหน่วงและทำกิจกรรมเบาๆ เช่น โยคะ หากงานของคุณต้องใช้แรงกายมาก ควรวางแผนในการทำ Water Fasting โดยคำนึงถึงตารางเวลาของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงเชิงลบ
ผลเสียต่อสุขภาพหากทำผิดวิธี
แม้ว่าการทำ Water Fasting นั้น จะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคบางโรคได้แล้ว แต่ก็ยังมีผลเสียต่อสุขภาพเหมือนกัน ดังนั้นการทำ Water Fasting นั้นควรจะทำในระยะเวลาที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดนั้นอยู่ที่ 1-3 วัน หากมากกว่านี้ควรได้รับคำแนะนำและอยู่ในความดูแลของแพทย์