คอชาบู หมูกระทะ เสี่ยง 'นิ่วในถุงน้ำดี' สังเกตอาการเป็นอย่างไร
คอชาบู หมูกระทะเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี ถ้าอักเสบอาจต้องผ่าตัด หมดโอกาสกินอาหารหวานมัน แพทย์เตือนระมัดระวังพฤติกรรมการกินอาหาร
วันนี้ "คม ชัด ลึก" จะพาไปทำความรู้จักกับโรคนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ผ่านบทความความ นพ.สมเดช เจริญสรรพพืช ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลพระราม 9
"นพ.สมเดช เจริญสรรพพืช" ให้ข้อมูลว่า "พฤติกรรมชอบกินอาหารหวาน" หรืออาหารไขมันสูงเป็นประจำ โดยเฉพาะพวกของทอดของปิ้งย่าง หรือชาบู อาจส่งผลให้สมดุลของน้ำดีเสียไป ทำให้เกิดก้อนผลึกขึ้นในถุงน้ำดี เกิดเป็น "นิ่วในถุงน้ำดี" ขึ้นได้
หากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีถึงขั้นอักเสบแล้ว อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก ทำให้แทบจะหมดโอกาสที่จะได้กินอาหารหวานมันเหมือนเมื่อก่อน ถ้าไม่อยากเป็นแบบนั้น ก็ควรระมัดระวังพฤติกรรมการกินอาหาร
"นิ่วในถุงน้ำดี" (Gall Stone) เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของสารต่างๆ ในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่วขึ้นที่ถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาทานอาหารประเภทไขมัน (แต่ก็มีกรณีที่ไม่แสดงอาการ) สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วออก
ความผิดปกติของถุงน้ำดีมักมาจากภาวะการอักเสบ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีเนื้องอก เกิดพังผืด ติดเชื้อ ได้รับการกระทบกระเทือน แต่สาเหตุส่วนมากของถุงน้ำดีอักเสบกว่าร้อยละ 95 เป็นผลมาจากการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone)
นพ.สมเดช บอกต่ออีกว่า กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ คือในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป, ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, ในกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน, ผู้ที่ลดน้ำหนักรวดเร็วเกินไป โดยเฉพาะการลดด้วยวิธีอดอาหาร
ส่วนกลุ่มลูกๆ ที่พ่อแม่เคยเป็นโรคนี้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นได้มากกว่าคนทั่วไป,
คนที่มีพฤติกรรมในการกินอาหารที่มีไขมันสูง, ผู้ที่รับประทานยาลคอเลสเตอรอล หรือยาคุมกำเนิด, ผู้ที่เป็นโรคเลือดบางโรค เช่น โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
คำถามที่พบบ่อย คือ เด็กมีสิทธิ์เป็นหรือไม่ แม้ว่ากลุ่มเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปแล้วจะไม่ใช่เด็ก แต่ก็มีปัจจัยกระตุ้นให้เด็กเป็นโรคดังกล่าวได้ เช่น โรคธาลัสซีเมีย ภาวะที่ผิดปกติของทางเดินน้ำดี มีพ่อแม่ที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี (พันธุกรรม) ได้รับยาบางชนิด เช่น ยาเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone)
รวมถึงเด็กมีภาวะอ้วน มีน้ำหนักเกิน หรือมีพฤติกรรมการกินที่เน้นอาหารหวานมัน ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วยเช่นกัน ชอบกินของทอดของมัน ให้ระวัง เมื่อเรากินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงเป็นประจำ อาจทำให้เกิดการตกตะกอนของคอเลสเตอรอล ร่วมกับเกลือแร่และโปรตีนที่ไม่สมดุลในน้ำดี จนเกิดเป็นก้อนนิ่วอุดตันอยู่ภายใน เมื่อสะสมมากเข้า ทำให้การทำงานของถุงน้ำดีแย่ลง หากปล่อยไว้ อาจเกิดการอักเสบในที่สุด
นิ่วในถุงน้ำดี มีอาการอย่างไรบ้าง ในช่วงแรกที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี บางคนอาจจะยังไม่แสดงอาการอะไร หรือมีอาการ แต่ไม่ทราบว่าเป็นนิ่วและไม่ได้ไปตรวจ แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า นิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือสะสมเพิ่มจำนวนขึ้น จึงเริ่มมีอาการ
อาการในช่วงแรก ถ้ายังไม่รุนแรงมาก มักจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่กินอาหารที่มีไขมันสูงเข้าไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการบวมตึงในถุงเพราะการคั่งของของเหลว มีลักษณะอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ แน่นท้อง ท้องอืด มีลมมาก ปวดจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ และอาจปวดร้าวไปบริเวณสะบักขวา อาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย
ข้อสังเกตคือ มักจะมีอาการหลังกินอาหารมัน ๆ หรือช่วงเวลากลางคืน และมักจะเป็นอยู่ 1 – 2 ชั่วโมงก็หาย และขณะมีอาการ ผู้ป่วยจะยังพอขยับตัวได้
โดยทั่วไปพบว่า หากเริ่มมีอาการแล้ว ก็มักจะเป็นต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น (เนื่องจากก้อนนิ่วมักไม่ได้หายไปไหน มีแต่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ) เมื่อเริ่มมีก้อนนิ่วภายในถุงน้ำดีแล้ว มีโอกาสเกิดภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis) ได้ทุกเมื่อ ซึ่งจะมีอาการรุนแรงกว่า โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้ มีอาการปวด จุกแน่น เหมือนอาการที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่มีอาการยาวนาน 4 – 6 ชั่วโมงแล้วยังไม่หาย
มีอาการปวดท้องแบบรุนแรง หรือปวดจุกเสียดรุนแรงบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
มีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
ปัสสาวะเหลืองเข้ม หรืออุจจาระสีซีด
เป็นไข้ มีอาการหนาวสั่น (ร่วมกับอาการข้างต้น) คลื่นไส้ อาเจียน (ร่วมกับอาการข้างต้น)
สัญญาณของการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี คือมีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย อาเจียนปวดท้องอย่างรุนแรงบริเวณช่วงท้องส่วนบนด้านขวา โดยปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น
ข้อสังเกตคือ ผู้ป่วยแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย เพราะจะปวดมาก และถ้าหากพบว่ามีอาการดังกล่าวแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์
โดยด่วน
ข้อมูล:โรงพยาบาล พระราม 9