ไลฟ์สไตล์

ใครอาการแบบนี้เช็กด่วน ท้องผูก นอนละเมอ เสี่ยง 'โรคพาร์กินสัน'

ใครอาการแบบนี้เช็กด่วน ท้องผูก นอนละเมอ เสี่ยง 'โรคพาร์กินสัน'

23 พ.ค. 2566

รู้หรือไม่ ผู้ป่วย 'โรคพาร์กินสัน' ไม่ใช่ค่มีอาการสั่น เกร็ง และผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว แต่อาจมีปัญหาการขับถ่าย ท้องผูก และนอนละเมอ

อาการทั่วไปของ โรคพาร์กินสัน ที่หลายคนทราบ คือ อาการสั่น เกร็ง และมีความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว แต่แท้จริงแล้วผู้ป่วยพาร์กินสันอาจมีปัญหาการขับถ่าย ท้องผูก และนอนละเมอได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา

 

แพทย์หญิงณัฎลดา ลิโมทัย

 

แพทย์หญิงณัฎลดา ลิโมทัย อายุรแพทย์โรคสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า โรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง ทำให้มีการสร้างสารสื่อประสาทที่ชื่อว่าโดปามีนลดลง ซึ่งสารโดปามีนมีหน้าที่หลักในการควบคุมการเคลื่อนไหว เรียบเรียงความนึกคิด และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ 

 

 

อาการของโรคพาร์กินสัน มีทั้งที่แสดงออกทางการเคลื่อนไหว เช่น อาการสั่น อาการแข็งเกร็ง การเคลื่อนไหวช้า ท่าเดินที่ผิดปกติ การทรงตัวที่ไม่ดี หรือแม้กระทั่งปัญหาการหกล้ม และอาการแสดงที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว จนบางครั้งผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าอาการเหล่านี้มีสาเหตุเกิดจากโรคพาร์กินสันเช่นกัน เช่น การนอนละเมอ (บางรายถึงขนาดทำร้ายร่างกายคนที่นอนร่วมเตียง) และปัญหาการขับถ่ายโดยเฉพาะอาการท้องผูก ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยพาร์กินสัน โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ เนื่องจากมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ โดยอาการเหล่านี้อาจพบเป็นอาการนำก่อนที่จะเริ่มพบอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหวหรืออาการสั่นมาก่อนหลายปีก็ได้

 

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันบางส่วน อาจไม่ตระหนักถึงอาการของโรคเพราะคิดว่าเกิดจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมา เช่น มีความเสี่ยงหกล้มง่าย เพราะฉะนั้น หากเริ่มมีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้นควรไปพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

 

การรักษาโรคพาร์กินสัน แพทย์จะแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการใช้ยา เพื่อเพิ่มการออกฤทธิ์ของสารโดปามีนในสมอง ซึ่งมีทั้งรูปแบบรับประทาน แผ่นแปะ และยารูปแบบฉีดใต้ผิวหนัง โดยพบว่า ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีการตอบสนองต่อยาได้ดีมากถึง 70 – 100 เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนปกติก่อนเกิดอาการ การรับประทานยาที่ถูกต้องคือ รับประทานยาตอนท้องว่าง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดี เช่น ก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง หรือหลังอาหาร อย่างน้อย 1 ชั่วโมง หากรับประทานยาใกล้เคียงกับมื้ออาหารโดยเฉพาะกลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ และนม จะทำให้การดูดซึมยาน้อยลง หรือยาอาจจะไม่ออกฤทธิ์ นอกจากนี้ ยังควรรับประทานยาให้ตรงเวลาตามจำนวนครั้ง และปริมาณที่แพทย์สั่ง เพื่อป้องกันอาการตอบสนองต่อยาไม่สม่ำเสมอที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควร

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อการตอบสนองของยาลดลง ไม่ดีเหมือนช่วงแรกของการรักษา และมีการตอบสนองของยาไม่สม่ำเสมอ แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นประสาทส่วนลึก โดยใช้กระแสไฟฟ้าควบคุมวงจรการทำงานของสมอง สามารถช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมการเคลื่อนไหวโดยรวมและทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น

 

นอกเหนือจากการรักษาด้วยยาหรือผ่าตัด การดูแลสุขภาพโดยทั่วไปก็เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยพาร์กินสัน โดยแนะนำให้ออกกำลังกาย เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน หรือออกกำลังกายในบ้าน การรับประทานอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนเพียงพอ เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และผักผลไม้เพื่อช่วยเรื่องการขับถ่ายให้ดีขึ้น