ไลฟ์สไตล์

'วัณโรค' ไม่มีอาการก็เป็นได้ แพทย์แนะ 'เอกซเรย์ปอด' ก่อนแพร่เชื้อไม่รู้ตัว

'วัณโรค' ไม่มีอาการก็เป็นได้ แพทย์แนะ 'เอกซเรย์ปอด' ก่อนแพร่เชื้อไม่รู้ตัว

24 มี.ค. 2567

'วัณโรค' เป็นโรคติดต่ออันตราย แต่ไม่ใช่โรคที่สกปรกน่ารังเกียจ เพราะเป็นโรคท้องถิ่นที่พบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย เป็นโรคที่ทุกคนเป็นได้ แต่ก็รักษาให้หายได้เช่นกัน

วัณโรค คนส่วนใหญ่มักมีความคิดไปในทางแง่ลบ โดยมองว่าเป็นโรคที่น่ารังเกียจ และเป็นโรคติดต่อสกปรกอันตราย ซึ่งในความเป็นจริงนั้นถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว คือ วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่อันตรายจริง แต่ไม่ใช่โรคที่สกปรกน่ารังเกียจ เพราะเป็นโรคท้องถิ่นที่พบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย เป็นโรคที่ทุกคนสามารถเป็นได้ แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกัน

 

นพ.วินัย โบเวจา

 

เพื่อเป็นการยืนยันและให้ทุกคนเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว วัณโรคนั้นสามารถรักษาให้หายได้จริงๆ วันนี้เราจึงจะพาไปคุยกับ นพ.วินัย โบเวจา อายุรแพทย์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินหายใจ เกี่ยวกับการรักษาวัณโรค โรงพยาบาลพญาไท 3 ที่บอกว่า วัณโรค เป็นแล้วหายได้นั้น มีกระบวนการและวิธีการอย่างไรบ้าง?

 

ก่อนรักษาต้องวินิจฉัยฟันธงให้ชัดก่อนว่าเป็นวัณโรคจริงๆ

               

กระบวนการแรกของการรักษา วัณโรค นั้น จะเริ่มต้นที่การวินิจฉัยก่อน โดยเมื่อผู้ป่วยเข้ามาพบแพทย์ หมอก็จะเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย แล้วจากนั้นสิ่งที่ทำต่อไปคือ เอกซเรย์ปอด ซึ่งสำหรับการเอกซเรย์ปอดนี้ จะทำให้รู้ได้เลยว่า คนไข้เป็นวัณโรคมากน้อยแค่ไหน และหลังจากการเอกซเรย์แล้วหากพบว่ามีโอกาสเป็นวัณโรค ลำดับต่อไปคือ การเก็บเสมหะ เพื่อนำมาตรวจพิสูจน์ว่าเป็นวัณโรคชัวร์หรือไม่? แต่ทั้งนี้ก็มีบ่อยครั้งเช่นกันที่ อาการใช่ เอกซเรย์เหมือน แต่พอเก็บเสมหะแล้วตรวจ กลับไม่พบตัวชี้วัดว่าเป็นวัณโรค ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะถึงแม้จะดูคล้ายว่าใช่อย่างไร แต่ถ้าตรวจไม่เจอก็ไม่สามารถฟันธงได้

ดังนั้น ในปัจจุบัน ถ้าการตรวจเสมหะไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็น วัณโรค เราจะใช้เทคนิคใหม่ด้วยการนำเสมหะไปทำการตรวจแบบวิธี “อณูชีววิทยา” ซึ่งแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ก็นับเป็นการวินิจฉัยที่แม่นยำและแน่นอนกว่า ทำให้นำไปสู่กระบวนการรักษาได้เร็วและทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าสุดท้ายแล้วการตรวจเสมหะไม่สามารถบอกได้จริงๆ การวินิจฉัยด้วยการส่องกล้องแล้วตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ คือด่านสุดท้ายที่สามารถทำได้ ผลชี้วัดที่แน่นอนที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่มีค่ารักษาสูงที่สุดด้วย

 

\'วัณโรค\' ไม่มีอาการก็เป็นได้ แพทย์แนะ \'เอกซเรย์ปอด\' ก่อนแพร่เชื้อไม่รู้ตัว

 

แค่กินยา ก็รักษาวัณโรคให้หายได้

               

สำหรับแนวทางในการรักษา วัณโรค ปัจจุบันคือ การกินยาล้วนๆ แบ่งการรักษาออกเป็น 2 ช่วง ทั้งนี้ ถ้าเป็นวัณโรคในปอด จะต้องกินยาประมาณ 6 เดือน หากเป็นวัณโรคนอกปอด เช่น วัณโรคที่เยื่อหุ้มปอด วัณโรคกระดูก วัณโรคต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ จะต้องกินยาประมาณ 9-12 เดือน หรือแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ ยิ่งถ้าเป็นวัณโรคที่สมอง อย่างน้อยก็ต้องประมาณ 12 เดือน แต่ก็สามารถรักษาหายได้

 

 

4+2 สูตรให้ยาที่ทำให้วัณโรคห่างหายภายในเวลา 6 เดือน

               

กว่าที่แพทย์จะเริ่มให้ยาได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาค่าตับ ค่าไต ค่าเบาหวาน และสภาพร่างกายอื่นๆ โดยรวมของคนไข้ให้พร้อมเสียก่อนว่าสามารถรับยาได้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากพร้อมก็จะเริ่มให้ยาชุดแรกทันที โดยการให้ยารักษาวัณโรคแบ่งได้ออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง 2 เดือนแรก จะเป็นช่วงที่เรียกว่า Intensive เป็นการให้ยาแบบเข้มข้น จะมียาทั้งหมด 4 กลุ่ม ไม่นับรวมวิตามินอื่นๆ ซึ่งหลังจาก 2 เดือนแรกผ่านไป วัณโรคจะค่อยๆ สงบลง จึงเริ่มเข้าสู่กระบวนการให้ยาใน ช่วงที่ 2 ที่มีความเข้มข้นน้อยลงกว่าเดิม คือเหลือให้ยาเพียงแค่ 2 กลุ่มเท่านั้น และให้ต่อไปเป็นระยะเวลาอีกประมาณ 4 เดือน หลังจากนั้นก็อยู่ที่วิจารณญาณของแพทย์ว่าจะให้ยาต่อหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหายขาดภายใน 6 เดือน

 

 

วัณโรคจะหายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จริงหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่คนไข้ 

 

ระหว่างการให้ยา คนไข้จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการกินยา และพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ เช่น ห้ามดื่มเหล้าโดยเด็ดขาด เพราะตัวยารักษา วัณโรค นั้นออกฤทธิ์ต่อตับ หากดื่มเหล้าด้วยอาจส่งผลต่อการทำให้ตับเป็นอันตรายและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ หรือผู้ป่วยที่กินยาหม้อ ยาสมุนไพรแต่เดิมอยู่ หรือชอบซื้อยาชุดกินเอง ไม่ว่าจะเพื่อรักษาโรคหรือว่าบำรุงร่างกาย ก็จำเป็นจะต้องปรึกษาแพทย์ ทั้งนี้ วัณโรค เป็นโรคที่รักษาหายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่คนไข้ต้องไม่ดื้อ ต้องกินยาสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามแพทย์สั่งด้วย

 

 

 

ผลข้างเคียงที่ต้องรู้ ในช่วงระหว่างให้ยารักษาวัณโรค

               

ในขณะที่กินยารักษา วัณโรค อยู่นั้น ปัสสาวะของคนไข้อาจมีสีเหลืองเข้มจนเป็นสีส้มได้ คือเป็นสีแบบน้ำส้มแฟนต้าได้เลย รวมถึงอาจมีอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอม หรือมีผื่นคันขึ้นตามร่างกาย ซึ่งหากพบเล็กน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่น่ากังวลแต่อย่างใด แต่ถ้าหากพบว่ามีผื่นขึ้นเป็นจำนวนมาก มีอาการปากบวม ตาบวม มีไข้สูง มีอาการปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ไม่อยากอาหาร อาเจียน ฯลฯ ลักษณะอาการเหล่านี้ถือว่าผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

 

\'วัณโรค\' ไม่มีอาการก็เป็นได้ แพทย์แนะ \'เอกซเรย์ปอด\' ก่อนแพร่เชื้อไม่รู้ตัว

 

สุดท้ายที่ นพ.วินัย ฝากว่า การตรวจสุขภาพประจำปีคือสิ่งที่ช่วยคัดกรองให้ปลอดภัยจาก วัณโรค ได้ เพราะจริงๆ แล้ววัณโรคไม่ได้มีแค่แบบที่แสดงอาการอย่างเดียว แต่มีแบบที่ไม่แสดงอาการด้วย ซึ่งปัจจุบันพบได้บ่อยมาก คือ ไม่ไอ ไม่มีไข้ ไม่มีอาการอะไรเลย แต่มีวัณโรคอยู่ในปอด ซึ่งแบบนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายกับตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำให้เรายังกลายเป็นคนที่แพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

 

“แม้วัณโรคจะรักษาหายได้ แต่เมื่อเป็นแล้วไม่รู้ ไม่ได้รับการรักษา ก็จะก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ซึ่งจะยิ่งทำให้วิกฤตวัณโรคนั้นควบคุมได้ยากมากขึ้น ดังนั้น การตรวจสุขภาพ การ เอกซเรย์ปอด จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะหากเราป่วยเป็นวัณโรคก็จะช่วยให้ตรวจพบและรักษาหายได้เร็ว ไม่เป็นอันตรายต่อคนใกล้ชิด และถือเป็นการช่วยควบคุมการแพร่กระจายของวัณโรคไปด้วยพร้อมๆ กัน”