ไลฟ์สไตล์

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาแก้แพ้ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย

ยาแก้แพ้เป็นตัวช่วยบรรเทาอาการแพ้ที่รบกวนการใช้ชีวิต รู้วิธีใช้ยาแก้แพ้อย่างปลอดภัย! จะช่วยรับมือกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้อย่างตรงจุดอีกด้วย

 

ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการหลั่งของสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นสารที่จะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอม อย่างสารก่อภูมิแพ้ สารเคมี เชื้อโรค และพิษจากแมลง จึงทำให้เกิดอาการแพ้ตามมา เช่น ผื่นแดงคันตามผิวหนัง คันตา คัดจมูก และน้ำมูกไหล เป็นต้น สำหรับใครที่มีอาการภูมิแพ้เรื้อรังควรศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของยาแก้แพ้ เพื่อให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย   วิธีใช้ยาแก้แพ้อย่างปลอดภัยเป็นสิ่งที่คนเป็นโรคภูมิแพ้หรือภาวะอื่นที่ต้องใช้ยาชนิดนี้เป็นประจำควรรู้ แม้ว่ายาแก้แพ้ส่วนใหญ่จะไม่ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย แต่การศึกษาวิธีใช้ยาแก้แพ้อย่างปลอดภัยจะช่วยรับมือกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้อย่างตรงจุดอีกด้วย

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาแก้แพ้ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย

เรื่องน่ารู้ของยาแก้แพ้และวิธีใช้ยาแก้แพ้อย่างปลอดภัย 

 

1. ยาแก้แพ้มี 2 ชนิด

ยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วง (Conventional Antihistamines)

ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ผ่านทางสมอง ระบบประสาท และไขสันหลัง จึงมักทำให้เกิดอาการง่วงซึม อีกทั้งยังอาจพบผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ปากแห้ง ตาพร่า และปัสสาวะขัด ตัวอย่างยาแก้แพ้กลุ่มนี้ ได้แก่ ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ยาไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine) ยาบรอมเฟนิรามีน (Brompheniramine) ยาคีโตติเฟน (Ketotifen) ยาออกซาโทไมด์ (Oxatomide) และโปรเมทาซีน (Promethazine) 

 

ยาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วง (Non-Drowsy Antihistamines)

ยาแก้แพ้กลุ่มนี้ออกฤทธิ์ผ่านสมองน้อยกว่ากลุ่มแรกจึงทำให้ไม่ง่วง แต่ก็อาจพบผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว ปากแห้ง หรือรู้สึกไม่สบายได้ ตัวอย่างยาแก้แพ้กลุ่มนี้ ได้แก่ ยาเซทิริซีน (Cetirizine) ยาเฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine) ยาเลโวเซทิริซีน (Levocetirizine) และยาลอราทาดีน (Loratadine) 

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาแก้แพ้ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย

2. ยาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วงก็อาจทำให้ง่วงได้

แม้จะชื่อว่ายาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วง แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการง่วงซึมได้เช่นกัน เพราะยาแก้แพ้ชนิดนี้ยังคงออกฤทธิ์ภายในสมองและระบบประสาท เพียงแต่ออกฤทธิ์น้อยลงเท่านั้น คนบางส่วนที่ใช้ยาแก้แพ้กลุ่มนี้ก็อาจพบอาการง่วงซึมได้ ด้วยเหตุนี้การใช้ยาแก้แพ้ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็อาจมีความเสี่ยงเกิดอาการง่วงซึมหรือการตอบสนองช้าลงได้ ดังนั้นหากเพิ่งใช้ยาแก้แพ้เป็นครั้งแรกหรือรู้สึกว่าตนเองมักง่วงซึมจากการใช้ยาแก้แพ้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะทุกชนิด รวมถึงงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ เช่น การทำงานกับเครื่องจักร การทำงานบนท้องถนน และการทำงานบนที่สูง เป็นต้น

 

3. ยาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้น้อยกว่า

ยาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วงเป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นหลังจากยาแก้แพ้กลุ่มแรก ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ชี้ว่านอกจากยาแก้แพ้กลุ่มนี้จะทำให้ง่วงน้อยลงแล้ว อัตราการเกิดผลข้างเคียง อย่างปากแห้ง โพรงจมูกแห้ง และอาการตาพร่าก็ยังน้อยกว่ายาแก้แพ้กลุ่มแรกด้วย

 

4. ยาแก้แพ้กลุ่มแรกอาจใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นได้

แม้ว่าในภาพรวมของคนทั่วไป ยาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วงจะดูเป็นอันตรายน้อยกว่ายาแก้แพ้กลุ่มแรก แต่ในความเป็นจริง ยาแก้แพ้กลุ่มแรกก็มีสรรพคุณบางอย่างที่เหนือกว่ายาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วง ซึ่งก็คือการบรรเทาอาการน้ำมูกไหลที่ดีกว่า อีกทั้งยาแก้แพ้กลุ่มแรกอาจใช้เพื่อบรรเทาอาการเมารถและอาการนอนไม่หลับได้ด้วย

 

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาแก้แพ้ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย

 

 

5. ข้อจำกัดของยาแก้แพ้

แม้ว่ายาแก้แพ้ส่วนใหญ่มีความปลอดภัยเมื่อใช้ในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป แต่คนบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาแก้แพ้ได้สูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นหากคุณเป็นคนในกลุ่มต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ยากำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคตับ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคเบาหวาน โรคไต โรคต่อมลูกหมากโต โรคต้อหิน และโรคลมชักอยู่ในระหว่างการรักษาตัวด้วยยาชนิดอื่น โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะหาซื้อยาแก้แพ้เพื่อใช้ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

 

6. ยาแก้แพ้แต่ชนิดมีระยะเวลาออกฤทธิ์ต่างกัน

ยาแก้แพ้แต่ละชนิดและแต่ละยี่ห้ออาจมีตัวยาและปริมาณยาที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาการออกฤทธิ์ โดยส่วนใหญ่ระยะการออกฤทธิ์จะอยู่ระหว่าง 12–24 ชั่วโมงตามชนิดและปริมาณยา หากเริ่มใช้เป็นครั้งแรกหรือต้องการเปลี่ยนชนิดของตัวยา ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนเสมอ

 

7. ยาแก้แพ้เป็นยาเพื่อบรรเทาอาการ ไม่ใช่ยารักษา

โรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้อากาศ โรคหืด โรคผิวหนังอักเสบ ลมพิษ และอาการแพ้อาหารเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดจากพันธุกรรมภายในร่างกายผิดปกติจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ยาแก้แพ้เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่ใช้บรรเทาและควบคุมอาการชั่วคราวเท่านั้น โดยวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอาการแพ้ คือ การหลีกเลี่ยงสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ให้ได้มากที่สุด

 

8. ยาแก้แพ้ไม่สามารถใช้รักษาโรคหวัดได้

แม้ว่าโรคไข้หวัดและโรคภูมิแพ้มักมีอาการระบบทางเดินหายใจที่คล้ายกัน เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ระคายคอ และไอ แต่ยารักษาโรคหวัดและยาแก้แพ้ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากทั้งสองโรคมีสาเหตุที่แตกต่างกัน ยาแก้แพ้เพียงบางชนิดเท่านั้นที่พอช่วยบรรเทาอาการบางอย่างจากโรคหวัดได้ อย่างบรอมเฟนิรามีน คลอเฟนิรามีน อย่างไรก็ตามหากอาการหวัดไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

 

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาแก้แพ้ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย