ไทยเฝ้าระวังเข้ม "ไข้หวัดนก H5N1" หลัง WHO พบผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้-สหรัฐ
องค์การอนามัยโลกพบ "ไข้หวัดนก H5N1" ในฟาร์มสัตว์ปีก เมืองดงแฮ เกาหลีใต้ และพบคนงานฟาร์มสัตว์ปีกในรัฐวอชิงตัน สหรัฐ ติดเชื้อ ส่วนไทยไม่พบ แต่เฝ้าระวังเข้ม!
โดย พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลถึงสถานการณ์โรคระบาดในต่างประเทศที่ต้องเฝ้าระวังว่า "โรคไข้หวัดนกในคน และสัตว์ทั่วโลกยังพบมีรายงานเป็นระยะ โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 ซึ่งติดต่อจากสัตว์มาสู่คน แต่ยังไม่พบว่า สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ไข้หวัดนกเป็นโรคจากสัตว์มาสู่คน เดิมเราจะพบเชื้อไข้หวัดนกติดในสัตว์ปีก แต่ระยะหลังพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คือ ในฟาร์มโคนม ฟาร์มหมู ล่าสุดพบในสหรัฐ แต่ยังใจชื้นตรงไม่แพร่ง่ายจากคนสู่คน ต้องสัมผัสใกล้ชิดจริงๆ"
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) มีรายงานพบเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในฟาร์มสัตว์ปีก ในเมืองดงแฮ จังหวัดคังวอนโด สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 และเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานคนงานฟาร์มสัตว์ปีกในรัฐวอชิงตัน ติดเชื้อ 9 ราย ผู้ติดเชื้อ 3 รายยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นไวรัสไข้หวัดนกชนิด A (H5N1)
สำหรับประเทศไทย พบผู้ป่วยรายสุดท้าย เมื่อปี 2549 แต่หลังจากนั้นยังไม่พบอีก ซึ่งมีระบบเฝ้าระวังต่อเนื่อง ส่วนที่ประเทศใกล้บ้านเรา อย่างกัมพูชา ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 มีรายงานผู้เสียชีวิตสะสมทั้งหมด 10 ราย จึงยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังสถานการณ์โรคทั้งในคน สัตว์และสัตว์ป่า รวมทั้งประเมินความเสี่ยงภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมควบคุมโรค กรมปศุสัตว์ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ตามแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health
ข้อแนะนำสำหรับประชาชน ให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกร หรือโคนมที่ป่วยหรือตาย และไม่ใช่ว่าไข้หวัดนกจะต้องเลี่ยงแค่สัตว์ปีก โคนมป่วยเท่านั้น ต้องหลีกเลี่ยงทั้งหมด ทั้งนี้ หากต้องสัมผัสกับสัตว์ปีก สุกร หรือโคนม ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยงดังกล่าวให้แพทย์ทราบ