
ทำไมถึงติดกาแฟ อาการติดกาแฟ อยากเลิกกาแฟต้องทำอย่างไร?
รู้สึกว่าขาดกาแฟไม่ได้ ต้องดื่มกาแฟถึงจะเริ่มทำงานหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามปกติ แล้วทำไมเราถึงติดกาแฟ อาการติดกาแฟเป็นอย่างไร แล้วอยากเลิกกาแฟต้องทำอย่างไร!
ทำไมเราถึงติดกาแฟ เมื่อพูดถึงอาการติดกาแฟร่างกายของเราไม่ได้กำลังเสพติดกาแฟหรือคาเฟอีนในลักษณะเดียวกันกับสารเสพติดอย่างยาบ้า เฮโรอีน กัญชา หรือใบกระท่อม ที่มักก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ สมองของคนเรามีสารเคมีที่เรียกว่าตัวรับอะดีโนซีน (Adenosine Receptor) และสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของสมอง โดยลดการตื่นตัว และทำให้เรารู้สึกง่วงนอน แต่เมื่อเราดื่มกาแฟ สารคาเฟอีนจะเข้าไปจับกับตัวรับแทนที่สารอะดีโนซีน ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา และเซลล์สมองจะสร้างตัวรับเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยให้กับสารอะดีโนซีน ส่งผลให้คาเฟอีนมีฤทธิ์ลดลง หากเราหยุดดื่มกาแฟก็จะทำให้สารอะดีโนซีนจับกับตัวรับมากยิ่งขึ้น จึงก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียหรือง่วงนอนมากกว่าปกติ ทำให้ต้องดื่มกาแฟเพื่อให้กลับมารู้สึกกระปรี้กระเปร่าดังเดิม จึงเป็นสาเหตุที่หลายคนเลิกดื่มกาแฟไม่ได้เสียที
อาการติดกาแฟเป็นอย่างไร บางคนอาจคิดว่าการดื่มกาแฟทุกเช้าเป็นเพียงความเคยชินเท่านั้น ไม่ได้กำลังติดกาแฟ แต่เมื่อใดก็ตามที่หยุดดื่มกาแฟแล้วพบอาการอ่อนเพลีย ง่วงซึม มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีสมาธิ ไร้เรี่ยวแรง ซึมเศร้า หงุดหงิด คลื่นไส้ หรืออาเจียนตามมา นี่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังติดกาแฟอยู่หรือเราเรียกอาการเหล่านี้ว่า อาการถอนคาเฟอีน (Caffeine Withdrawal)
อยากเลิกกาแฟต้องทำอย่างไร ค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวัน ไม่หักดิบเลิกกาแฟอย่างกะทันหัน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ช่วยลดอาการถอนคาเฟอีนให้น้อยลง ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอื่นเช่นกัน ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น หันไปดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีนหรือกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำ (Decaf Coffee) ทดแทน เพื่อให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนน้อยลง แม้กาแฟจะเป็นที่พึ่งทุกเช้า สาย บ่าย เย็นของใครหลายคน แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจนำมาซึ่งการติดกาแฟจนยากจะเลิกหรือก่อให้เกิดอาการกวนใจอย่างอาการถอนคาเฟอีนตามมาหลังหยุดดื่ม ซึ่งหากยังเลิกกาแฟไม่ได้ถาวรก็ควรดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดปริมาณคาเฟอีนที่ 400 มิลลิกรัมต่อวันหรือกาแฟประมาณ 2–4 แก้ว เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพให้ได้มากที่สุด