น้ำมันหมูดีกว่า น้ำมันพืชจริงหรือไม่? แล้วน้ำมันชนิดไหนดีที่สุด

เรื่องของน้ำมันพืชที่ใช้ในครัว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแต่สุดท้ายก็ยังมีกับข้อถกเถียงในโลกออนไลน์ในหลากหลายประประเด็น อย่าง น้ำมันหมู ดีกว่า น้ำมันพืช จริงหรือไม่? น้ำมันพืชอันตรายหรือไม่ น้ำมันหมูปลอดภัยจริงหรือ ซึ่งน้ำมันทุกชนิดประกอบไปด้วยกรดไขมันทั้ง 3 ชนิดเหมือนกัน คือ กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Mono Unsaturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated Fatty Acid ) ในสัดส่วนที่ต่างกัน

 

 

มันหมูและน้ำมันพืชอะไรดีกว่ากัน

สรุปแล้ว มันหมูและน้ำมันพืช ต่างก็มีประโยชน์ต่อร่างกายหากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งน้ำมันพืชและน้ำมันหมูต่างก็มีกรดไขมัน ในน้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันมะพร้าว จะมีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) หากบริโภคมากเกินก็จะเกิดคอเลสเตอรอลสูงในร่างกายได้ เพราะน้ำมันหมูจะมีทั้งกรดไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัว ไม่ว่าจะเลือกน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมู ต้องบริโภคอย่างเหมาะสมจะดีที่สุด

 

น้ำมันที่ดีที่สุด 8 ชนิดสำหรับสุขภาพ

1.น้ำมันมะกอก ขึ้นชื่อว่าดีต่อสุขภาพหัวใจ  น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ประกอบด้วยสารประกอบฟีนอลมากกว่า 30 ชนิด ซึ่งเป็นกลุ่มของไฟโตเคมีคัลที่มีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและขยายหลอดเลือด 

 

2. น้ำมันคาโนล่า
น้ำมันคาโนลามีไขมันอิ่มตัวเพียง 1 กรัมใน 1 ช้อนโต๊ะ และเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง (ประมาณ 9 กรัมต่อ 1 ช้อนโต๊ะ) นอกจากนี้ยังมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนในระดับสูง (4 กรัมต่อ 1 ช้อนโต๊ะ) น้ำมันคาโนลามีจุดควันสูงกว่าน้ำมันมะกอกและมีรสชาติเป็นกลาง จึงดีกว่าน้ำมันมะกอกสำหรับการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง

 

3. น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์
น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งกรดอัลฟา-ไลโนเลนิก ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ยอดเยี่ยม นอกจากประโยชน์ต่อหัวใจแล้ว โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง ยังอาจช่วยลดการอักเสบได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางประเภทได้

 

4. น้ำมันอะโวคาโด

อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อสุขภาพ

 

 

5. น้ำมันวอลนัท
เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะกรดอัลฟา-ไลโนเลนิก อาจมีผลในการปกป้องหัวใจและช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น

 

6. น้ำมันงาดำ

มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งเป็นภาวะที่ไขมันและสารอื่นๆ สะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งทำให้หลอดเลือดเหล่านี้แคบลงและทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

7. น้ำมันเมล็ดองุ่น  

มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนโอเมก้า 6 เช่นเดียวกับน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ แหล่งวิตามินอีชั้นดี

 

 8. น้ำมันดอกทานตะวัน

มีไขมันไม่อิ่มตัวสูงและมีไขมันอิ่มตัวต่ำ อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และไตรกลีเซอไรด์ได้