ข่าว

ผบ.สส.เผยโผทหารขั้นผบ.เหล่าทัพจบแล้ว

ผบ.สส.เผยโผทหารขั้นผบ.เหล่าทัพจบแล้ว

26 ส.ค. 2554

ผบ.ทหารสูงสุดระบุโผทหารรอรมว.กลาโหมนัดถก ยันผบ.เหล่าทัพไม่เคยผิดใจกันทำโผทหาร เผยทุกอย่างจบแล้ว ขานรับนโยบายปกป้องสถาบัน-รักษาอธิปไตย-ช่วยประชาชน

           26ส.ค.2554 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 ว่า ต้องรอ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกประชุมคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.การจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ส่วนของแต่ละเหล่าทัพไม่มีอะไรเพราะเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่มีอะไรทุกอย่างชัดเจน อยากเรียนต่อสังคมว่าขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของตนและ ผบ.เหล่าทัพทุกคน เราทำงานใกล้กับผู้ใต้บังคับบัญชามานานพอสมควร นอกจากจะเห็นและทราบนิสัย ทราบหลายเรื่อง การทำงานมีทั้งในและนอกสนามรวมถึงทำงานร่วมกับต่างประเทศ ดังนั้น ความเกี่ยวข้องโยงใยไปถึงกันหมด นโยบายแห่งรัฐที่ให้รักษาความสัมพันธ์ทางทหารเพื่อความเข้าใจดำเนินการตามชายแดน มีองค์ประกอบในการคัดเลือกบุคคลเข้ามารับความรับผิดชอบต่อไป

            “ยืนยันว่าผบ.เหล่าทัพไม่เคยคิดต่างกัน เพียงแต่ว่าลักษณะอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ความคิดเหมือนกัน กว่าจะถึงวันนี้เราเดินทางมาดัวยกันยาวนาน เหมือนประเทศที่จะมีความยากลำบาก บางครั้งก็มีความสุข บางครั้งก็มีรอยยิ้ม แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาและหล่อหลอมคนขึ้นมาตามลำดับ ตามห้วงระยะเวลา การประชุมพิจารณาปรับย้ายไม่มีการโหวต ทุกอย่างพูดจากันด้วยเหตุผล ผมอยกาจะบอกว่ามันจบแล้ว ผบ.เหล่าทัพ ไม่เคยผิดใจกัน และผมก็ไม่เคยผิดใจกับใครเหมือนกัน ทั้งหมดก็จะต้องอยู่ด้วยกัน” ผบ.ทหารสูงสุด ระบุ

 

ขานรับนโยบายปกป้องสถาบัน-รักษาอธิปไตย-ช่วยประชาชน

            ทั้งนี้ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.ทรงกิตติเป็นประธานการประชุม ผบ.เหล่าทัพ ครั้งที่ 6/255โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผุ้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง การประชุมครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายของ ผบ.สส. และผู้บัญชาการทหารเรือ ที่จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนก.ย.นี้ หลังจากนั้น

             หลังการประชุม พล.อ.ทรงกิตติ ได้แถลงว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2554 และเป็นครั้งสุดท้ายของตน โดยในการประชุมได้พูดถึงการปรับกำลังเพื่อป้องกัน และรักษาผลประโยชน์ตามแนวชายแดนให้เหมาะสมในปีงบประมาณ 2555 เนื่องจากปัจจุบันกองทัพบกได้จัดตั้งกรมทหารพรานขึ้นมา 3 กรม เพื่อเข้ารับผิดชอบในพื้นที่ และจะนำกำลังหลักกลับเข้าสู่งานตามแผนป้องกันประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กองทัพได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับงานด้านความมั่นคง เรื่องแรก คือ การปกป้องสถาบันและถวายพระเกียรติ 2 . การปรับกองทัพให้มความพร้อมในการรักษาอธิปไตย และเตรียมการในการช่วยเหลือประชาชน 3.เรื่องความพร้อมในการช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ และ 4. ความพร้อมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาติ เช่น ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว ตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งกองทัพได้มีการประชุมหารือกันและจะมีการปรับในบางส่วน

             เหล่าทัพจะนำเรื่องทั้งหมดเรียน รมว.กลาโหม ในวันที่ 2 กันยายน ซึ่งท่านจะมาตรวจเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพไทย โดยจะดูว่ากองทัพจะพัฒนาต่อไปอย่างไรในอนาคต รวมถึงการบูรณาการในการทำงาน และจะน้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติ และเร่งรัดการดำเนินการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จากนั้นจะไปตรวจเยี่ยมรับทราบข้อมูลจากเหล่าทัพต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการบูรณาการทางภาพรวมจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัยของกองทัพไทยสู่ศูนย์ของกระทรวงมหาดไทย และจะมีการดำเนินการเชื่อมระบบเข้าด้วยกัน

             กองทัพพร้อมตอบสนองแนวนโนบายของรัฐบาล จะทำทันทีเมื่อได้รับนโยบาย โดยจะเชื่อมโยงในแต่ละเหล่าทัพให้มากขึ้น มีห้วงระยะเวลาตามยุทธศาสตร์ของทหาร ที่มีกรอบการดำเนินการ และเกี่ยวข้องเกี่ยวกับพัฒนากองทัพ ในเรื่องความพร้อมของยุทโธปกรณ์ในอนาคต โดยปรับยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่มาปรับให้เหมาะกับสถานการณ์หากนายกฯมาเยี่ยมกองทัพไทย จะเรียนถึงการดำเนินการ และการเตรียมการตามนโยบายของรัฐ

             สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกต่อประเทศไทยและกัมพูชา การปฏิบัติจะเข้าไปที่กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงจะส่งไปที่รัฐบาล เมื่อได้กรอบนโยบายแล้ว คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ จีบีซี ก็จะหารือกัน เมื่อจีบีซีได้ข้อสรุปก็จะส่งให้คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาคไทย-กัมพูชา หรือ อาร์บีซี ไปปฏิบัติ ซึ่งต้นกำเนิดของคณะกรรมการ 2 ชุดมาจากเอ็มโอยูปี 43 โดยกรอบใดที่เกี่ยวข้องกับ ม.190 ก็ต้องเข้าสภา