
สลดภริยาพยานคดีปล้นปืนใต้ถูกยิงดับ
เหตุร้ายรับฮารีรายอ มือปืนประกบยิง 'เจ๊ะรอฮานี ยูโซ๊ะ' ภริยาของ 'อับดุลเลาะห์ อาบูคารี' พยานปากเอก คดีบิ๊กตำรวจซ้อมผู้ต้องหาคดีปล้นปืนที่หายตัวลึกลับ เสียชีวิตหลังกลับจากตลาดดุซงญอ ทิ้งลูก 2 คนเป็นกำพร้า เหตุพ่อหายตัวปริศนา-แม่ถูกฆ่า
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงเทศกาลฮารีรายอ แม้จะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นเพียงประปราย แต่ก็มีเหตุร้ายที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง คือกรณีคนร้ายจ่อยิงภรรยาของพยานคดีซ้อมผู้ต้องหาปล้นปืนที่หายตัวลึกลับ จนเธอเสียชีวิตในท้องที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
เมื่อเวลา 16.45 น.วันจันทร์ที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ประกบยิง น.ส.เจ๊ะรอฮานี ยูโซ๊ะ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/5 บ้านบองอ หมู่ 4 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เสียชีวิต เหตุเกิดขณะ น.ส.เจ๊ะรอฮานี กำลังขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นคลิก สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน อยู่บนถนนสายบ้านเมาะซาวา-บ้านบองอ หมู่ 4 ต.บองอ กลับจากซื้อกับข้าวที่ตลาดนัดดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 4 ปลอก เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
แหล่งข่าวซึ่งเป็นนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ เปิดเผยกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า ได้สอบถามไปยังตำรวจ สภ.ระแงะ เกี่ยวกับความคืบหน้าของคดีนี้ ได้รับคำตอบว่าไม่มีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รายใดยอมให้การเป็นพยาน น่าจะเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของกลุ่มผู้ก่อเหตุ
เผยเป็นภรรยาพยานปากเอกดีเอสไอที่หายตัวลึกลับ
สำหรับ น.ส.เจ๊ะรอฮานี หรือ เจะรอฮานี จากการตรวจสอบประวัติทราบว่าเป็นภรรยาของ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี พยานปากสำคัญซึ่งอยู่ในความคุ้มครองของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่หายตัวไปอย่างลึกลับและเป็นปริศนาเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2552 และกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าทางคดี
การหายตัวไปอย่างแทบจะไร้ร่องรอยของนายอับดุลเลาะห์กลายเป็นที่สนใจของสังคม เพราะเขาคือพยานปากสำคัญในคดีซ้อมทรมานลูกความของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เพื่อให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอกจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2553 คดีที่นายอับดุลเลาะห์เป็นพยาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้มีมติไม่รับคำร้องหลังใช้เวลาพิจารณานานกว่า 5 ปี โดยชี้ว่า ข้อกล่าวหาตำรวจซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีปล้นปืนไม่มีมูล ทำให้กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีนายตำรวจระดับ “พลตำรวจเอก” และ “พลตำรวจโท” ชื่อดังและยังอยู่ในราชการรวมอยู่ด้วยทยอยฟ้องกลับผู้กล่าวหา และบางรายถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ฐานแจ้งความเท็จบ้างแล้ว
การสังหาร น.ส.เจ๊ะรอฮานี ทำให้ลูกสาวและลูกชายวัยไม่ถึงสิบขวบของนางที่เกิดกับนายอับดุลเลาะห์ต้องกลายเป็นกำพร้าด้วย
เปิดปูมคดี “อับดุลเลาะห์” โยงคดีอุ้ม “ทนายสมชาย”
ข้อกล่าวหาซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีปล้นปืนที่มีต่อนายตำรวจระดับสูงและพวกจำนวน 19 นายนั้น มีจุดเริ่มต้นที่เกี่ยวโยงกับ ทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมด้วย เนื่องจากก่อนที่ทนายสมชายจะหายตัวไปเมื่อเดือน มี.ค.2547 เขาได้รับเป็นทนายสู้คดีให้กับผู้ต้องหาคดีปล้นปืนและกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ถูกตำรวจจับกุมตัว และมีการกล่าวหาว่าตำรวจซ้อมทรมานผู้ต้องหา
ทั้งนี้ หนึ่งในพยานปากสำคัญของคดีทั้งที่ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา และยื่นคำร้องต่อ ปปช. คือ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี แต่ นายอับดุลเลาะห์ หายตัวไปอย่างลึกลับหลังเดินทางกลับบ้านช่วงเทศกาลฮารีรายอ ที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2552 ทั้ง ๆ ที่อยู่ในโปรแกรมคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
นายอับดุลเลาะห์ เรียนจนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านโคกศิลา ต.กะลูวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส และไม่ได้ศึกษาต่อ จากนั้นประมาณปี 2547 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวในข้อหาปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่ภายหลังศาลยกฟ้อง และดีเอสไอได้กันตัวไว้เป็นพยานในคดีซ้อมทรมานลูกความของทนายสมชายเพื่อให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืน
โดยนายอับดุลเลาะห์รอขึ้นศาลอยู่หลายปี กระทั่งหายตัวไป ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ถึงปัญหาความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม และประสิทธิภาพการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ แม้ดีเอสไอจะอ้างว่า นายอับดุลเลาะห์กระทำผิดสัญญาการคุ้มครองพยาน เพราะเดินทางกลับบ้านก็ตาม