10ปี9/11ราคาที่สหรัฐต้องจ่าย
เปิดโลกวันอาทิตย์ : 10 ปี 9/11ราคาที่สหรัฐต้องจ่าย ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์โนเบล
สัปดาห์ที่ผ่านมา อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการทบทวนและย้อนมองโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับจากเกิดเหตุมหาวิปโยคบนแผ่นดิน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ที่เรียกสั้นๆ ว่า 9/11 จากการที่สลัดอากาศ 19 คน จี้เครื่องบินพาณิชย์ 4 ลำ โจมตีแบบพลีชีพถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 2 ลำ อีกลำโจมตีอาคารกระทรวงกลาโหม และลำสุดท้ายตกลงเสียก่อนที่เพนซิลวาเนีย
เสียงจากผู้นำชาติตะวันตกออกมาในทางเดียวกันว่า โลกปลอดภัยขึ้น อัล-ไกดาอ่อนแอลง นายโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มถูกสังหารแล้ว และยากจะเกิดเหตุวินาศกรรมช็อกโลกซ้ำรอย ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยและเทคโนโลยีสารพัดรูปแบบ ที่นำมาใช้ในช่วงทศวรรษแห่งสงครามต่อต้านก่อการร้าย ที่ประกาศโดย นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ ในเวลานั้น ซึ่งรวมถึงสงครามโค่นตาลีบันในอัฟกานิสถานและการรุกรานอิรัก ที่ต่อมา พบว่า ซัดดัม ฮุสเซน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอัล-ไกดาเลย
ราคาที่สหรัฐต้องจ่ายกว่าจะได้มาซึ่งความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่คำนวณเป็นตัวเลขได้และไม่ได้ มากมายมหาศาล
ศ.โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้เขียนบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์สำนักข่าวอัลจาซีรา ว่าอัล-ไกดาก่อเหตุวินาศกรรม 9/11 เพื่อต้องการทำลายสหรัฐ ซึ่งก็ทำได้จริงๆ แต่บิน ลาเดน คงคาดไม่ถึงว่าความเสียหายจะหลากหลายและมหาศาลเพียงใด เมื่อประธานาธิบดีบุช ตอบโต้ ด้วยการยอมย่อหย่อนหลักสิทธิพลเรือน บั่นทอนเศรษฐกิจและความมั่นคงของตนเอง
สงครามที่บุชก่อขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสงครามแสนแพง จากความไร้ประสิทธิภาพและการบิดเบือน
สติกลิตซ์ กล่าวว่า จากการคำนวณรายจ่ายสงครามกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็สูงถึง 3-5 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว แต่ตัวเลขนี้ต้องพุ่งทะยานขึ้นอีกอย่างแน่นอน เกือบ 50% ของทหารที่กลับบ้าน มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากความพิการมากน้อยต่างกันไป และมีทหารอีกกว่า 6 หมื่นที่อยู่ระหว่างรักษาตัวตามโรงพยาบาลทหารผ่านศึกต่างๆ ทำให้ประเมินว่า รายจ่ายสำหรับทหารทุพพลภาพและค่ารักษาพยาบาลในอนาคต จะสูงราว 6-9 แสนล้านดอลลาร์
ยังไม่นับรวมรายจ่ายทางสังคม จากอัตราฆ่าตัวตายของทหารผ่านศึกที่พุ่งแตะวันละ 18 คน ในช่วงสองสามปีมานี้ กับครอบครัวแตกสลาย ที่ไม่อาจคำนวณเป็นตัวเลขได้
นักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ กล่าวว่า นี่เป็นสงครามครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้การกู้มาสนับสนุนด้านงบประมาณ
ตอนที่สหรัฐเข้าสู่สงคราม ยอดขาดดุลสหรัฐเริ่มพิ่มสูงขึ้นบ้างแล้วจากนโยบายลดภาษีของบุชในปี 2544 และบุชทำให้แย่ลงด้วยการเดินหน้าลดภาษีช่วยคนรวยอีกระลอกหนึ่ง
เวลานี้สหรัฐกำลังมุ่งแก้ปัญหาการว่างงานและขาดดุล สองอย่างนี้เป็นภัยคุกคามอนาคตสหรัฐ ที่อาจย้อนไปถึงสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก เพราะการเพิ่มงบกลาโหม บวกกับการลดภาษีของบุช เป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าเหตุใดสหรัฐถึงได้พลิกผันจากการเกินดุลงบประมาณ 2% ของจีดีพี เมื่อตอนที่บุชได้รับเลือกตั้ง มาสู่ภาวะขาดดุลและหนี้สินรุงรัง
งบรายจ่ายโดยตรงของรัฐบาลที่หมดไปกับสงครามจนถึงขณะนี้ สูงราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 1.7 หมื่นดอลลาร์ต่อหนึ่งครัวเรือน
สงครามยังมีส่วนทำให้เศรษฐกิจจุลภาคของสหรัฐอ่อนแอ ซ้ำเติมปัญหาหนี้สินและการขาดดุล ความปั่นป่วนในตะวันออกกลางทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะยาน ชาวอเมริกันต้องใช้จ่ายเงินซื้อน้ำมันนำเข้าเพิ่มขึ้น แทนที่จะนำไปใช้จ่ายซื้อหาสินค้าอื่นที่ผลิตในสหรัฐ
ในด้านความมั่นคง สติกลิตซ์ มองว่า การใช้กำลังทหารเกินขอบเขต ทำให้การตัดสินใจใช้กำลังทหารในยามที่ควรกลายเป็นเรื่องยาก การที่ผู้อื่นรับรู้ความลำบากของสหรัฐในเรื่องนี้ เป็นปัจจัยบั่นทอนความมั่นคงสหรัฐในเวลาเดียวกัน กระนั้นพลังอันแข็งแกร่งกว่ากำลังทหารและอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่แท้คือ อำนาจแบบอ่อน (soft power) ซึ่งหมายถึงรัฐบาลที่ยึดมั่นใจหลักการ แต่สิ่งนี้กลับอ่อนแอลง เพราะสหรัฐได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เช่น การคุมขังโดยไม่พิจารณาคดี สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน พันธกรณีที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศถูกตั้งคำถามมากมาย
สหรัฐและพันธมิตรได้รู้แล้วว่า ชัยชนะสงครามอัฟกานิสถานและอิรักในระยะยาวคือการชนะใจ แต่ศึกนี้ใหญ่หลวงเพราะความผิดพลาดในตอนแรกเริ่ม และทำให้ความสูญเสียจากสงครามมากมายมหาศาล ผลการศึกษาบางชิ้นระบุว่า มีชาวอิรักล้มตายโดยตรงและโดยอ้อมสูงกว่าล้านคน บางผลการศึกษาระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 1.37 แสนคน จากเหตุรุนแรงในอัฟกานิสถานและอิรักในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เฉพาะอิรักประเทศเดียวมีผู้อพยพไร้ที่อยู่ในประเทศตัวเองราว 1.7 ล้านคน
เกร็ดอันรันทดและน่าสนใจจาก 9/11
-ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากเหตุ 9/11 เพิ่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายในปีนี้เอง หลังจากผลชันสูตรของสำนักงานนิติเวชวิทยานิวยอร์ก ยืนยันว่า นายเจอร์รี บอร์ก นักบัญชีและนักแสดงพาร์ตไทม์ที่เสียชีวิตเมื่อปลายปี 2553 นั้น มีสาเหตุจากโรคปอดอันเกิดจากการสูดฝุ่นละอองใกล้กับตึกเวิลด์เทรด ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ 2,753 คน
-มีเด็กที่สูญเสียพ่อหรือแม่จากเหตุวินาศกรรม 9/11 จำนวนทั้งสิ้น 3,051 คน มีทารก 17 คน ที่ถือกำเนิดหลังผู้เป็นพ่อเสียชีวิตจากเหตุ 9/11 และ 9 เดือนหลังจากนั้น จำนวนเด็กที่ถือกำเนิดในนครนิวยอร์กเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปี 2543
-งานศิลปะที่อันตรธานหายไปพร้อมกับการล้มครืนของตึกเวิลด์เทรด มีมูลค่าเกิน 100 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้มีผลงานของปิกัสโซรวมอยู่ด้วย
-ฮีโร่ 4 ขา "โรเซลล์" สุนัขนำทางพันธุ์ลาบราดอร์ โด่งดังไปทั่วโลก เมื่อมันกลายเป็นฮีโรพา นายไมเคิล ฮิงสัน เจ้านาย ซึ่งพิการทางสายตา ลงมาจากชั้นที่ 78 จากอาคารเหนือ และพาไปยังบ้านเพื่อนเจ้านายของมันได้
-หัวข้อยอดนิยมที่ถูกสืบค้นทางเว็บไซต์กูเกิล ในช่วงสัปดาห์แรกหลังเกิดเหตุ ได้แก่คำว่า นอสตราดามุส ซีเอ็นเอ็น เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และโอซามา บิน ลาเดน
-พนักงานดับเพลิงใช้เวลา 100 วันถึงดับเพลิงได้มอดสนิท
-มีศพเพียง 291 ศพเท่านั้นที่ถูกกู้จากกราวน์ ซีโร ได้ในสภาพสมบูรณ์
-ในภาพรวม คนงานได้รื้อค้นในกองซากปรักหักพังอาคารน้ำหนักกว่า 1 ล้านตัน เพื่อหาร่างผู้เคราะห์ร้ายและทรัพย์สินส่วนตัว และพบข้าวของ 6.5 หมื่นรายการ รวมถึงนาฬิกา 437 เรือน และแหวนแต่งงาน 144 วง
-เหล็กจากกราวน์ ซีโร ถูกนำไปหลอมทำของที่ระลึก เสาธง ไม้กางเขน และงานศิลปะมากมายหลายร้อยชิ้น รวมถึงไม้กางเขนที่แชงคส์วิลล์ เมืองฟิลาเดลเฟีย จุดที่เครื่องบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ตก ซึ่งทำจากเหล็กจากอาคารเหนือ กับอนุสาวรีย์ "ความทรงจำและแสงไฟ" ในเมืองปาดัว ประเทศอิตาลี
-ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนเหตุ 9/11 กองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศอเมริกาเหนือ (โนแรด) ได้จัดการซ้อมป้องกันก่อการร้ายภายใต้ชื่อ "Vigilant Guardian" โดยจำลองเหตุการณ์สลัดอากาศจี้เครื่องบิน 4 ลำ และมีกำหนดจำลองเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเพื่อฝึกซ้อมอีกครั้งในเช้าวันเกิดเหตุ
-นายแลร์รี ซิลเวอร์สไตน์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพิ่งทำสัญญาเช่าซื้อตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เป็นเวลา 99 ปี มูลค่า 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียง 6 เดือนก่อนถูกทำลาย ปัจจุบันซิลเวอร์สไตน์กำลังสร้างอาคารพาณิชย์และศูนย์การค้าเคียงข้างอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์
-หลายวันก่อนลงมือโจมตี มีสลัดอากาศ 5 คนจาก 19 คน เข้าพักในโรงแรมเล็กๆ ใกล้กับประตูทางเข้าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ
-กล่องดำในส่วนหางของเครื่องบินอเมริกา แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ 77 ถูกค้นพบที่อาคารเพนตากอนเมื่อวันที่ 12 กันยายน หรือหลังเกิดเหตุ 1 วัน แต่นายโดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ แถลงในเวลาต่อมาว่า ไม่อาจกู้ข้อมูลจากกล่องดำได้ เชื่อกันว่า เป็นครั้งแรกใน 40 ปี ที่เมื่อพบกล่องบันทึกเสียงสนทนาในห้องนักบินแล้ว แต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย
-หนึ่งในสิ่งที่ถูกทำลายพร้อมกับการพังถล่มของตึกเวิลด์เทรด คือห้องละหมาด และหนังสือคัมภีร์อัลกุรอานจำนวนหนึ่ง
-สหรัฐบังคับใช้เขตห้ามบินเหนือสหรัฐ 3 วันหลังเกิดเหตุ นักวิทยาศาสตร์อเมริกันจำนวนหนึ่งได้ถือโอกาสนี้ ทำการทดลองผลกระทบเครื่องบินเจ็ตต่อบรรยากาศ และพบว่า ไอเสียจากเครื่องบินในท้องฟ้า ทำหน้าที่คล้ายกับเมฆปกป้องโลกของเราจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันและกักเก็บความร้อนในช่วงกลางคืน
ที่มา: เทเลกราฟ