คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย
ขมน้ำตาล หวานบอระเพ็ด : คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย โดย...พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ
สังคมในทุกประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หากต้องการให้ทุกคนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนต้องไม่ห่างจากกันมากเกินไป เพราะหากช่องว่างระหว่างคนในสังคมห่างกันมากเกินไป ก็คงยากที่จะให้คนในสังคมที่มีความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้
คนในอดีตแม้จะยากจนแต่หากอดทนกับงานหนักและเก็บหอมรอมริบ ก็ก้าวขึ้นมาร่ำรวยเป็นเจ้าสัวมีฐานะมั่งคั่งได้ ซึ่งเราคงจะได้ยินเรื่องเล่าขานว่าแม้จะมีเพียงแค่เสื่อผืนเดียวกับหมอนหนึ่งใบ ติดตัวมาจากประเทศจีน ก็ยังสามารถสร้างตัวเองให้ก้าวขึ้นมามีฐานะเป็นคนร่ำรวยได้ แต่คนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น ไม่มีสิ่งยั่วยุจิตใจอะไรมากมายนัก อยากจะดูหนังใจจะขาดก็ไม่มีโรงหนังให้ดู นอกจากหนังกลางแปลงหรือหนังขายยา ที่ไม่ต้องเสียเงินทองและมาฉายให้ดูถึงหน้าบ้าน
คนในยุคเสื่อผืนหมอนใบต่อให้หลงใหลอบายมุข อย่างเก่งก็ทำได้เพียงแค่ใช้เงินทองเสียเปล่าไปกับการพนันประเภทหวย, โป, ไฮโล และจับยี่กี ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกจับตามองโดยฝ่ายบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด จนยากที่จะขยับตัวเข้าไปจ่ายเงินกับอบายมุขเหล่านั้นได้ง่ายๆ ยิ่งคนที่ทำมาหากินอยู่พื้นที่ต่างจังหวัดยิ่งมีสิ่งยั่วใจน้อยเข้าไปอีก
รวยแสนรวยแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสใช้เงินที่หามาได้ในทางสุรุ่ยสุร่าย อยากดื่มกาแฟก็ไปที่ร้านค้าซื้อกินราคาเท่าชาวบ้านทั่วไป ไม่มีกาแฟสดหรือกาแฟจากต่างประเทศราคาแก้วละนับร้อยบาท มาให้เลือกดื่มสมฐานะเจ้าสัว ไม่มีพิซซ่าราคาแพงหรือไก่ทอดยี่ห้อดังมายั่ว ให้ลูกหลานร้องไห้อ้อนขอเงินไปซื้อ มีแต่ไก่ทอดในตลาดที่ทอดขายกันในราคาพื้นบ้าน
ในขณะที่คนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันนี้ แม้จะมีรายรับสูงมากกว่าคนสมัยเสื่อผืนหมอนใบหลายเท่าตัว แต่ก็มีสิ่งยั่วยุจิตใจให้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้ยากที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคนมีฐานะทางการเงิน จากกการเก็บหอมรอมริบเช่นคนสมัยก่อน
ตัวอย่างจากสิ่งยั่วยุที่เกิดขึ้นตามยุคสมัยก็คือ การมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นตามการพัฒนาทางเทคโนโลยี เช่น การดาวน์โหลดริงโทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ แทนที่จะใช้เสียงเรียกเข้าเท่าที่ผู้ผลิตโทรศัพท์จัดหาให้มีไว้ประจำเครื่อง แม้จะดูว่ามีราคาค่างวดเพียงแค่หลักสิบบาทเท่านั้น แต่หากเอาไปรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้โปรโมชั่นสำหรับการใช้ส่งข้อความและค่าใช้บริการเสริมอื่นๆ ก็เป็นรายจ่ายนับร้อยบาทต่อเดือนเหมือนกัน
สินค้าและบริการต่างๆ ก็โฆษณายั่วใจให้ควักเงินในกระเป๋า หรือชวนให้ไปเว้าวอนออดอ้อนพ่อแม่ขอเงินไปจับจ่ายซื้อหา ด้วยว่าความรับรู้ของคนในสมัยปัจจุบันที่มีต่อการซื้อสินค้าและบริการนั้น มิได้เป็นเพียงแค่ซื้อมาเพื่อบริโภคหรือใช้สอยเท่านั้น แต่ “ต้องซื้อ” เพื่อไม่ให้เพื่อนฝูงหรือคนรอบข้างมองตนเองด้วยสายตาที่ทำให้ตนเองรู้สึกว่า “ตกยุค” หรือ “หลุดเทรนด์” ไปด้วย
สินค้าและบริการที่ดาหน้าเข้ามายั่วยุเรียกร้องเงินในกระเป๋า ของคนสมัยนี้ด้วยกลวิธีที่หลากหลาย เป็นตัวการที่ทำให้คนยุคปัจจุบันยากที่จะก่อร่างสร้างตัวได้ดี เท่าคนยุคเก่าที่มีสิ่งยั่วยุน้อยกว่า เพราะคนยุคเก่าก่อนหากจะซื้อสิ่งของใดใดสักชิ้นหนึ่ง ก็จะซื้อเพราะความ “จำเป็นต้องใช้” เป็นเหตุผลสำคัญ
ในขณะที่คนยุคนี้สมัยนี้เกือบทั้งหมด มีเหตุผลในการเลือกซื้อของที่ต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้กลยุทธ์ทางการตลาดของฝ่ายผู้ขาย เช่น ซื้อเพราะเห็นว่าเป็นเทศกาลลดราคาทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ของนั้นๆ หรือซื้อเพราะเห็นว่ามีคนลือกันว่าเป็นของดี ที่ปรกติหาซื้อในประเทศไทยไม่ได้ ทั้งที่ปรกติตนเองก็ไม่ได้อยากเสพหรือใช้สินค้านั้นๆ
ความอยากและความรู้สึกดังที่กล่าวมา เมื่อบวกเข้ากับกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ค้าและให้บริการ จึงเป็นตัวการที่ทำหน้าที่ถ่างช่องว่างของคนจนกับคนรวย ให้ห่างออกจากกันมากยิ่งขึ้น วันนี้และอนาคตเราจึงเห็นคนทั้งโลกไม่ว่าในประเทศใด ตกอยู่ในสภาวะของ “คนรวย ยิ่งรวยมากขึ้น คนจนยิ่งยากจนลง” ทุกวันครับ
...............................................
(ขมน้ำตาล หวานบอระเพ็ด : คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย โดย...พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ)