ข่าว

ว่าด้วยเรื่องวันสิ้นโลก!

ว่าด้วยเรื่องวันสิ้นโลก!

15 ธ.ค. 2555

เวิลด์วาไรตี้ : ว่าด้วยเรื่องวันสิ้นโลก!

                       กำลังสั่นสะท้านกันทั่วโลก กับคำพยากรณ์วันสิ้นโลกตามปฏิทินชาวมายัน ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 จนประชาชนในหลายประเทศ เร่งกักตุนอาหาร และของใช้จำเป็นหากวันนั้นเกิดโลกาวินาศจริงๆ ขณะที่วัยรุ่นบางรายที่มีจิตใจอ่อนไหวก็ถึงขั้นเตรียมฆ่าตัวตาย จนทำให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ของสหรัฐ (นาซ่า) ต้องออกโรงปฏิเสธความเป็นไปได้ของคำทำนายนี้

                       สื่อต่างประเทศได้มีการรวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับความเชื่อ หรือคำพยากรณ์วันสิ้นโลกมานำเสนอกัน 10 เรื่อง แต่ขอคัดมาเฉพาะไฮไลท์บางเรื่อง โดยที่พลาดไม่ได้ ก็คือ หลักฐานความเชื่อซึ่งนับย้อนหลังไปได้ไกลกว่า 2800 ปี ก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว โดยการค้นพบคำพยากรณ์เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ปรากฏอยู่ในแผ่นจารึกดินเหนียว แห่งอาณาจักรอัสซีเรีย อายุเก่าแก่เกือบ 5,000 ปี ที่ระบุว่า โลกใบนี้จะเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ จะมีสัญญาณต่างๆ สะท้อน กำลังเคลื่อนเข้าไปสู่การจบสิ้นอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ การให้สินบนและการทุจริตทางการเมืองจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา เด็กๆ จะไม่เชื่อฟังพ่อแม่อีกต่อไป มนุษย์ทุกคนจะอยากเขียนหนังสืออย่างน้อยสักเล่มหนึ่ง และเป็นที่ชัดเจนว่าวันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
 น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อพิจารณาเหตุบ้านการเมืองทั่วโลกในยุคปัจจุบันนี้ แล้วพบว่า คำทำนายข้างต้นทุกข้อล้วนเป็นเป็นจริง (ยกเว้น เรื่องวันสิ้นโลก ที่ไม่ได้มีการระบุกำหนดเวลาที่ชัดเจนไว้)

                       ขยับมาที่ปี 2042 มีนักโหราศาสตร์ชาวเยอรมัน พยากรณ์ว่าจะมีน้ำท่วมโลก ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2067 มีหลายคนเชื่อคำทำนายนี้ รวมถึงท่านเคานต์คนหนึ่ง ที่ถึงกับลงทุนจัดสร้างเรือขนาดใหญ่เหมือนกับเรือของโนอาห์ และเมื่อถึงวันนั้นได้มีผู้คนมากมายมารวมตัวที่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่งเสียงเยาะเย้ยท่านเคานต์ แต่ทันใดนั้นก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้หลายคนตระหนกและแห่กันไปวิ่งไปเพื่อจะขอหนีขึ้นเรือ ท่านเคานต์ไม่ยอม ด้วยความโกรธฝูงชนที่กำลังตื่นตกใจขว้างปาก้อนหินใส่จนถึงแก่ความตาย แม้ภายหลังโหราจารย์คนนั้นจะออกมาแก้ตัวว่า มีการคำนวณเวลาผิดพลาดไปจากปี 2071 แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เหยื่อจากเหตุการณ์นี้ฟื้นคืนชีวิตกลับมา

                       ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2323 ได้เกิดปรากฏการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ "วันฟ้ามืดแห่งนิวอิงแลนด์" ที่ความมืดได้แผ่คลุมทั่วท้องฟ้าจนไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดส่องออกมา ทำให้ประชาชนพากันหวาดผวาว่าโลกจะถึงกาลวินาศ อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางรายเผยว่า ความมือครึ้มดังกล่าวมาจากไฟป่าและกลุ่มควัน

                       ทั้ง 3 เหตุการณ์ข้างต้น เป็นเรื่องในอดีต คราวนี้ลองมาดูเหตุการณ์ร่วมยุคเทคโนโลยี รวมไปถึงความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก ที่เข้ามาสอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะของชาวตะวันตกอย่างไม่รู้ตัวกันบ้าง ที่ฮือฮาที่สุด น่าจะเป็นการสร้างเครื่องเร่งความเร็วอนุภาค ของศูนย์วิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตร ใช้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคแล้วเอามาวิ่งชนกัน เพื่อตรวจสอบทฤษฎีโลกแตกในเชิงฟิสิกส์อนุภาคว่า จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นมาทำลายล้างโลกได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากผลการเปิดเดินเครื่องในปี 2551 ก็ไม่ปรากฏถึงแนวโน้มการเกิดผลกระทบอย่างที่หวาดกลัวกัน

                       ในแง่ความเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันแล้ว ความเชื่อนี้สะท้อนผ่านทั้งในบทเพลงอย่าง "It's the End of the World as We Know It (and I Feel Fine)" รวมไปถึง ความเชื่อเรื่องการกลับมาของพระเยซูคริสต์ เป็นต้น

                       ขณะที่ ล่าสุดบริษัทวิจัย อิปซอส จัดทำผลสำรวจใน 21 ประเทศ เกี่ยวกับความเชื่อของประชาชนในเรื่องวันสิ้นโลก พบว่า ชาวมะกันจริงจังกับเรื่องนี้มากที่สุด โดยทุก 1 ใน 5 คน เชื่อว่าในช่วงชีวิตนี้จะต้องเผชิญวันสิ้นโลกแน่นอน ขณะที่ ชาวตุรกีและแอฟริกาใต้ เป็นกลุ่มที่แทบไม่กังวลต่อคำพยากรณ์นี้เลย

 

--------------------------------

 

(เวิลด์วาไรตี้ : ว่าด้วยเรื่องวันสิ้นโลก!)