ข่าว

'มารยาท'ในการใช้คำว่า'ดอกเตอร์'คำว่า'อาจารย์'นำหน้าชื่อ

05 ก.ค. 2556

'มารยาท'ในการใช้คำว่า'ดอกเตอร์'คำว่า'อาจารย์'นำหน้าชื่อ : ต่อปากต่อคำ โดยดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ [email protected]/ twitter@DoctorAmorn


             สังคมวันนี้มีเรื่องให้ต้องพูดถึงมากมาย ผมไม่อยากให้คนส่วนใหญ่เกิดความท้อแท้หน่ายแหนงกับปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้า เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมไปถึงเรื่องของ “ความบ้าคลั่งในอำนาจยศศักดิ์” ที่ระบาดมาถึงวงการการศึกษาไทยอย่างรวดเร็ว ต้องฝากไปถึง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่” คุณ จาตุรนต์ ฉายแสง ให้ช่วยเร่งรัดสะสางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

             ผมจำได้ว่าในช่วงเป็นนิสิตจุฬาฯ เมื่อสามสิบปีก่อนเคยมีคนพูดขึ้นมาว่า อีกไม่นานปริญญาตรีจะเกลื่อนเมืองปริญญาโทจะท่วมท้นล้นหลาม เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้นก็เป็นจริงอย่างที่เห็น มาถึงวันนี้ปริญญาเอกกลายเป็นสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันหา แต่มีคนนิสัยเสีย “อยากได้โน่นนี่ แต่ไม่อยากออกแรงมาก ซื้อได้ก็ซื้อ วิ่งเต้นได้ก็เอา” เหตุผลความจริงประการหนึ่ง “เป็นเพราะต้องการมีไว้เพื่อลบปมด้อยตนเอง หรืออาจเพื่อเรียกร้องความสนใจสร้างความโดดเด่นสำหรับไปแสวงหาประโยชน์ด้านอื่นต่อไป” ในขณะที่นักวิชาการอย่างพวกผมจำนวนไม่น้อย “พยายามแผ่เมตตา”  ที่จะให้เกียรติและเฝ้าดูด้วยความระมัดระวังต่อสิ่งที่พบเห็นเจนตามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ด้วยเกรงว่ารีบโวยวายหรือทำตัวเป็นกระบอกเสียง whistleblower  ให้สังคมได้รับรู้ความเละเทะเน่าเฟะของคนพวกนี้ จะถูกกล่าวหาว่า มีจิตริษยาตาร้อน หรือไปขัดผลประโยชน์กับคนเหล่านั้นจึงทำให้ได้เห็นมนุษย์เผ่าพันธ์ “ดอกเตอร์ห้องแถว” ใช้คำว่า “ดอกเตอร์” อย่างพร่ำเพรื่อ ทั้งพิมพ์ในนามบัตร ทั้งโฆษณาขึ้นป้ายหาเสียง ออกรายการวิทยุโทรทัศน์ ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่า “ปริญญาเอกกำมะลอเหล่านั้นได้มาด้วยวิธีใดบ้าง”

             เรื่องราวที่ถูกเปิดโปงขึ้นเวลานี้ของบางสำนัก บางสถาบันที่ตามข่าว “จดทะเบียนจัดตั้งเป็นโรงเรียนอนุบาล” แต่สามารถประสาทปริญญาเอกให้ดารานักร้องนักแสดง นักการเมือง ครูบาอาจารย์จำนวนหนึ่ง เป็นหนึ่งในหลายประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ว่า “ขบวนการฉ้อฉล หากินกับความมักมากอยากได้โน่นนี่ของมนุษย์ยังคงปฏิบัติการได้ไม่เสื่อมคลาย” ในเมื่อวันนี้สังคมเปิดกว้างและลุกขึ้นมาจัดการกับมิจฉาชีพหลายกลุ่ม ผมจำเป็นต้องอาศัยจังหวะ “ตีเหล็กเมื่อร้อน” ในเมื่อเรากล้าวิจารณ์คนอื่นได้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่าในวงการการศึกษาเต็มรูปแบบบางแห่งบางสถาบันก็มีส่วนเชื่อมโยงสนับสนุนให้พฤติกรรม “บ้าปริญญา” แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว หลายๆ แห่งคณาจารย์ถึงกับต้อง “วิ่งรอกสอนในสถาบันและวิทยาเขตที่เปิดไปทั่วสี่มุมเมืองลามปามบานปลายไปถึงหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด” เรามีพุทธพาณิชย์ได้ ครูบาอาจารย์มักง่ายโลภมากหลายคนในยุคนี้ก็สร้าง “การศึกษาแบบพาณิชย์นิยม” ได้ไม่แพ้กัน

             ทำให้ไม่ต้องตั้งคำถามหรือประหลาดใจกันอีกต่อไปว่า ทำไมเยาวชนคนเก่งของสังคมเราจึงดีเด่นเก่งจริงเก่งจังในวงแคบๆ เพราะครูบาอาจารย์จำนวนหนึ่งมีส่วนสร้างปัญหา ทำให้โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนสอนภาษา กระทั่งโรงเรียนสอนเด็กทำการบ้านก็มีให้ใช้บริการ สะท้อนคุณภาพการศึกษาไทย การขาดความรับผิดชอบและเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของคนในแวดวงการศึกษา ตั้งแต่ครูมีหนี้คนละล้านไปกระทั่งครูบาอาจารย์ “ขายปริญญา ขายคุณวุฒิ หรือกระทั่งนักวิชาการบางกลุ่มกล้าเอาศักดิ์ศรีวิชาชีพไปแลกกับอามิสสินจ้างหวังลาภลอยได้ตำแหน่งใหญ่โตนอกวงวิชาการ” ทำให้สังคมวันนี้ระส่ำระสายหนักข้อขึ้น ทางสังคมวิทยาอาจเรียกเป็น “สภาวะไร้ขื่อแปหรือสังคมอลเวง (anomie)” เพราะคนไม่คิดว่าอะไรคือแก่นสาร คุณธรรมความดี อะไรคือเรื่องน่าละอาย ความเกรงกลัวบาปเวรของคนแทบไม่มีในยุคนี้ ขอให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เป็นถือว่าถูกต้องพึงพอใจ

             ไม่เพียงสถาบันการศึกษา แม้แต่ “เครื่องแบบ เหรียญตรา” ที่คนเราอยากได้อยากมี เดี๋ยวนี้ก็มีสถาบันบางแห่งสามารถดีไซน์หลักสูตร ออกแบบเครื่องหมาย กระทั่งเครื่องแต่งกายคล้ายทหารตำรวจ ถึงจะมีหนังสือทางราชการของหน่วยงานทหารอย่าง “กรมการรักษาดินแดน” ออกมาแจ้งการไม่รู้เห็นเกี่ยวข้อง ก็ยังอุตส่าห์มีดารา นักธุรกิจ คนอยากได้ยศศักดิ์พวกพ้องพาเหรดเข้าอบรม มีทั้งที่รู้อะไรเป็นอะไร และไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยก็มี อย่างนี้ก็ถือว่าล่อแหลมต่อการเข้าข่ายการหลอกหลวงฉ้อโกงประชาชนได้เหมือนกัน

             คิดดูเถิดครับ เดี๋ยวนี้ “แม้แต่หน้าตา คนเรายังกล้าทำศัลยกรรมตกแต่ง กระทั่งตัวเองจะจำเค้าหน้าตัวเองเมื่อแรกเกิดได้ไหม” ถ้าขนาดตัวเองยังหลอกตัวเองได้ คนไม่ใช่ครูบาอาจารย์ก็อยากให้คนเรียกว่า “อาจารย์” บางคน ไม่เคยเรียนหนังสือจริงจัง วิทยานิพนธ์ก็ลอกเขามาหรือมีคนเขียนแทน ยังจะกล้าให้คนเรียกว่า “ดอกเตอร์” ได้อย่างหน้าไม่อายผมต้องบอกให้สังคมนี้เข้าใจว่า “นักวิชาการอย่างผมและอีกหลายต่อหลายคน” ไม่มีข้อรังเกียจเดียดฉันท์ที่จะเห็นนักวิชาการ (ของจริง) มีมากขึ้น คนเรียนสูงขึ้น แต่วงการการศึกษาอยู่กันแบบ “สุกเอาเผากิน” เช่นนี้มานานแล้ว ถ้าเรายังปล่อยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ถือคติ “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” หรือมัวสนใจเรื่องชาวบ้านเรื่องไร้สาระ ไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ถึงคราววิกฤติก็ไม่ควรไปโทษใคร จึงขอเสนอไปยังผู้รับผิดชอบในวงการการศึกษาว่าต่อไปนี้ อย่าหาว่าจู้จี้ วางกฎระเบียบมาตรฐานอะไร แต่คนไหนจะใช้ “ดอกเตอร์” หรือ “อาจารย์” นำหน้าชื่อ ขอร้องว่า ถ้าคุณไม่ใช่นักวิชาการทำงานสอนหนังสือ ทำวิจัยให้หน่วยงานสถาบันไหน กรุณาออกกฎกระทรวงให้ ใช้ นาย นาง นางสาว สังคมจะไม่สับสน สำหรับ “คำว่า นักวิชาการอิสระ” ก็ไม่พึงใช้ เพราะฟังดูคล้ายๆ อุตริอวดตน ส่วนมากจะขอเลี่ยงสังกัดเพราะหน่วยงานขอร้องมา หรือเป็นตัวช่วยในการพูดแสดงความเห็นแบบไม่ต้องรับผิดชอบ ผมเชื่อว่าถ้าทำได้จะถือเป็นการ “ช่วยยุติพฤติกรรม ซึ่งเป็นบ่อเกิดในการเพาะเชื้อการฉ้อฉลหลอกลวงคนอื่นได้” ช่วยกันนะครับ เพื่อชาติบ้านเมือง

...........

(หมายเหตุ : 'มารยาท'ในการใช้คำว่า'ดอกเตอร์'คำว่า'อาจารย์'นำหน้าชื่อ : ต่อปากต่อคำ โดยดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ [email protected]/ twitter@DoctorAmorn)