ข่าว

บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรต่อไปทัศนะทางโหราศาสตร์(1)

บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรต่อไปทัศนะทางโหราศาสตร์(1)

06 ก.พ. 2557

บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรต่อไปทัศนะทางโหราศาสตร์(1) : ชุมชนเมืองโดย จันทรเทพ

               ในสมัยก่อนคัมภีร์โหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับการพยากรณ์บ้านเมืองนั้นมีไว้สำหรับท้าวพระยามหากษัตริย์ ผู้ปกครองของไทยมีคัมภีร์ต่างๆ มากมาย ตั้งแต่การพยากรณ์ลมฟ้าอากาศ ข้าวยากหมากแพง การศึกสงคราม อาทิ คัมภีร์เผด็จรามเหียร คัมภีร์ราชมัญตัญ คัมภีร์นครภังส์ คัมภีร์โสฬสพระนคร คัมภีร์พิชัยสงคราม เป็นต้น

               ในสมัยรัตนโกสินทร์ หน้าที่ในการพยากรณ์บ้านเมืองเป็นหน้าที่ของโหรหลวง ที่จะต้องถวายคำพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองแก่พระเจ้าแผ่นดินอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือไปจากการวางฤกษ์ยามในพระราชพิธีต่างๆ ตำแหน่งพระยาโหราธิบดีมีมาแต่โบราณ และเพิ่งเลิกไปเมื่อมีการยุบกรมโหรหลวงในสมัยรัชการที่ 7 นี้เอง ใครอยากอ่านคำพยากรณ์แบบนี้สามารถขึ้นไปที่แผนกอักษรโบราณ หอสมุดแห่งชาติ

               ผมเคยมีโอกาสอ่านคำพยากรณ์ที่พระยาโหราธิบดี เขียนด้วยลายมือสวยงามหลายฉบับ เพื่อพยายามศึกษาว่าโหรสมัยก่อนใช้หลักการอะไรในการพยากรณ์ 

               มีหลายคนได้ขอให้ผมลองพิจารณาดวงเมือง โดยตั้งคำถามว่าที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้จะจบเมื่อไร และเข้าสู่สภาวะปกติได้เมื่อไร

               ผมไม่ค่อยจะอาจหาญไปพยากรณ์ดวงชะตาบ้านเมือง เคยแอบทำบ้างก็เป็นเรื่องการค้นคว้าส่วนตัว แบบว่างุบงิบดูแล้วคุยโม้กันในหมู่เพื่อนสนิทที่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ด้วยกันมากกว่าอื่น เพราะการพยากรณ์ดวงชะตาเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ 

               ผมเห็นว่าการพยากรณ์บ้านเมืองต่างกับการดูดวงชะตาบุคคล เป็นคนละหลักการ ความหมายของดาวเคราะห์ และเรือนต่างๆ ของดวงชะตาเมืองก็แตกต่างกับดวงชะตาบุคคล เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงระมัดระวังมาก

               แต่เพื่อตอบสนองคำขอของท่านทั้งหลายผมจึงลองพิจารณาดูตามวิธีการของผมดังต่อไปนี้ ต้องเรียนเสียก่อนว่า ผมได้ผูกดวงโดยใช้วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 6 นาฬิกา 54 นาที ตามแบบโหรรุ่นเก่า ซึ่งลัคนาของดวงเมืองจะอยู่ที่ราศีเมษ อัฏฐะนวางค์ 4 (มิได้ใช้การพิจารณาจากดวงเมืองสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งคำนวณจากพระฤกษ์การฝังเสาหลักเมืองใหม่ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2395 ซึ่งนักโหราศาสตร์หลายคนเชื่อเช่นนั้น)

               จากการเฝ้าสังเกตผมเห็นว่าความไม่สงบหรือเหตุเภทภัยทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรานั้น สามารถพิจารณาได้จากโคจรวิกลคติ เช่น พักตร์ มนต์ เสริด ของดาวเคราะห์ใหญ่ที่แสดงบทบาทอันสำคัญ ได้แก่ เสาร์และพฤหัสบดี ซึ่งเป็นประธานของบาปเคราะห์และศุภเคราะห์ ซึ่งอาจพูดง่ายๆ ว่าเป็น “ตัวหลัก" ส่วนดาวเคราะห์อื่นๆ เป็นแต่เพียงตัวช่วยเท่านั้น

               เมื่อมาลองพิจารณาวิกฤติในบ้านเรา ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปลายปี 2547 ซึ่งมีการต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนขยายวงกว้างไปถึงการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 จะเห็นว่าในช่วงดังกล่าวนั้น เสาร์โคจรอยู่ในราศีเมถุน และกรกฏ มีการโคจรแบบวิกลคติ คือ พักตร์ หรือ เดินถอยหลัง เป็นระยะๆ คือ ช่วงปลายปี 2547 กับปลายปี 2548

               เสาร์จรโคจรเข้ามาร่วมจันทร์ของดวงชะตาพระนครในปุษยะฤกษ์ที่ 8 ราศีกรกฏตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2548 ในระหว่างที่อยู่ในฤกษ์นี้ก็พักตร์เป็นช่วงๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลกว้างขึ้นทุกวันจนกระทั่งเกิดการรัฐประหารใน เดือนกันยายน 2549

                เสาร์แม้จะมีการโคจรเป็นปกติแต่ก็ยังทับจันทร์ของดวงชะตาพระนครเดิมที่สถิตในราศีกรกฏ จากนั้นเมื่อเสาร์ยกไปสู่ราศีสิงห์ก็ยังมีการพักตร์เป็นระยะ จนถึงเหตุการณ์รุนแรงในกรุงเทพฯ และการทำลายการประชุมระหว่างประเทศที่พัทยาเมื่อเดือนเมษายน 2552      

               ในช่วงนี้พฤหัสบดีประธานฝ่ายศุภเคราะห์โคจรอยู่ในราศีมังกรอันเป็นตำแหน่งนิจจึงไม่อาจจะทำหน้าที่คานอำนาจของโชคร้ายแห่งบาปเคราะห์ใหญ่อย่างดาวเสาร์ได้ความรุนแรงในบ้านเมืองดำเนินต่อไป จนกระทั่งเสาร์โคจรเป็นปกติ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 และย้ายเข้าสู่ราศีกันย์เมื่อวันที่ 30 เดือนกันยายนในปีเดียวกัน

               การที่บาปเคราะห์ใหญ่มีการโคจรวิกลคตินั้น ถือว่าร้ายแรงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการที่เสาร์โคจรมาทับพระจันทร์ของชะตาพระนครนี้ถือเป็นโยคร้ายของเสาร์ ที่โหราศาสตร์อินเดีย เรียกว่า เสต สาติ 

               เสต สาติ คือ ระยะเวลาที่เสาร์โคจรเข้าในภพที่ 12 ภพที่ 1 และภพที่ 2 ของพระจันทร์ ซึ่งเป็นระยะที่ก่อให้เกิดโทษทุกข์เคราะห์กรรมมากที่สุด หลักการนี้ใช้กับดวงชะตาของบุคคลด้วย และการที่เสาร์โคจรใน 3 ราศีนี้ใช้เวลาประมาณ 7 ปีครึ่ง

               อิทธิพลของเสต สาติ นั้น สิ้นสุดลงเมื่อเสาร์ยกเข้าสู่ราศีกันย์เมื่อปลายเดือนกันยายน 2552 ซึ่งอันที่จริงถ้าพิจารณาเฉพาะดาวจันทร์และเสาร์ ก็น่าจะทำให้ความยุ่งเหยิงต่างๆ สงบลง แต่ปรากฏว่า พฤหัสบดี กลับมีการโคจรวิกลคติ คือ พักตร์ อีกตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน จนถึง 23 ตุลาคม 2552 ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงยังมีความวุ่นวายอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน

               เสาร์เริ่มพักตร์ที่ราศีกันย์อีกครั้งเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2553 เหตุการณ์ในบ้านเมืองที่น่าจะสงบลงแล้วกลับคุกรุ่นขึ้นมาอีก หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษายึดทรัพย์อดีตนายกฯ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ต่อมาก็มีการประท้วงลุกลามจนถึงเหตุการณ์การสูญเสียที่สี่แยกคอกวัว ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 จากนั้นก็มีการกระชับพื้นที่ของฝ่ายตำรวจทหารทำให้มีการเสียชีวิตจากเหตุการณ์จำนวนหนึ่งและมีการเผาสถานที่ต่างๆ ในช่วงวันที่ 16-19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งหลังจากที่เสาร์เริ่มโคจรเป็นปกติ ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2553 ดูเหมือนว่า  เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ในบ้านเมืองก็สงบลง