ข่าว

เปิดปูมขบวนการนักศึกษาทานตะวัน

เปิดปูมขบวนการนักศึกษาทานตะวัน

06 เม.ย. 2557

เปิดโลกวันอาทิตย์ : เปิดปูมขบวนการนักศึกษาทานตะวัน

 
                          คนรุ่นใหม่ไต้หวันที่เคยถูกมองว่าหนักไม่เอาเบาไม่สู้และถูกตั้งฉายาว่า "เจเนอเรชั่น สตรอเบอร์รี่" จากผู้ใหญ่รุ่นก่อร่างสร้างบ้านเมืองและทำงานหนัก แต่มุมมองนี้อาจเปลี่ยนไปเมื่อประจักษ์การออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการให้สัตยาบันข้อตกลงการค้ากับจีน ด้วยการยึดอาคารสภานิติบัญญัติเมื่อ 18 มีนาคม โดยการปักหลักเหนียวแน่นของนักศึกษาเหล่านั้น ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งในไต้หวันและชุมชนคนไต้หวันหลายประเทศทั่วโลก  
 
                          และเมื่อเรียกร้องขอการแสดงพลังจากแนวร่วมเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ก็ปรากฏว่ามวลชนหลั่งไหลออกมาแบบมืดฟ้ามัวดินเต็มถนนสายมุ่งสู่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงไทเป ถือเป็นการชุมนุมประท้วงใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีหรืออาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไต้หวัน
 
                          การชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ตำรวจประเมินตัวเลขฝูงชนที่ 1.16 แสนคน ขณะผู้จัดการประท้วงระบุว่า ครึ่งล้าน 
 
                          ไม่ว่าตัวเลขไหนคือการประเมินที่ถูกต้อง แต่ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของขบวนการเคลื่อนไหวโดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิ่งดูดายกับอนาคตของบ้านเกิดเมืองนอน ภายใต้ชื่อ ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน โดยมีสองแกนนำที่ได้รับการยอมรับว่ามีบทบาทสำคัญยิ่ง คือ หลิน เฟ่ย ฟาน และเฉิน เว่ย ถิง  สองคนนี้ไม่เพียงได้ใจเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน แต่ยังได้ใจมวลชนคนหลากรุ่นอย่างล้นหลาม    
 
                          ยูไนเต็ด เดลี่ นิวส์ สื่อภาษาจีน รายงานเรื่องราวของสองคนนี้เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมาว่า นาทีสำคัญของการชุมนุมวันนั้นคือจังหวะที่ หลิน เฟ่ย ฟาน กำลังฝ่ากองทัพสื่อขึ้นเวทีเพื่อกล่าวปราศรัยต่อมวลชนที่เฝ้ารอ บรรดาคุณน้าคุณป้าแย่งยื้อกันขอเห็นหน้าหนุ่มคนนี้ราวกับดารานักร้องชื่อดัง ทั้งตะโกนว่า "พวกเรารักคุณนะ"  บ้างตะโกนว่า "ลงชิงประธานาธิบดีเลย" 
 
                          หลิน นักศึกษารัฐศาสตร์วัย 25 ปี กับ เฉิน เว่ย ถิง นักศึกษาสังคมวิทยาวัย 24 ปี เป็นนักกิจกรรมทางสังคมมานาน แต่เป็นครั้งแรกที่โด่งดังไปทั่วไต้หวัน ทั้งสองเป็นแกนนำจัดการประท้วงครั้งนี้ร่วมกับเพื่อนอีกหลายคน แต่ได้เครดิตในการจัดรูปขบวน 
 
                          ในคืนแรกของการบุกเข้าไปภายในอาคารสภา บรรยากาศค่อนข้างอลหม่าน ภาพถ่ายแสดงภาพนักศึกษาซึ่งส่วนมากอยู่ในวัย 20 ปีเศษ ดื่มเบียร์ จู๋จี๋กันหลังโต๊ะเก้าอี้ และเข้ายุ่งวุ่นวายกับข้าวของสมาชิกสภา ผู้สื่อข่าวจึงให้ภาพนักศึกษาในคืนนั้นว่าเป็นพวกพังค์ไร้ระเบียบ 
 
                          แต่ไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลินและเฉินเตือนนักศึกษาเหล่านั้นว่าคนทั้งเกาะกำลังจับตามอง จากนั้นจัดระเบียบวางกติกาใหม่ และพลิกภาพลักษณ์ของผู้ประท้วงกลับดีขึ้นในเวลารวดเร็ว มีการนำถังขยะมาวางเป็นที่ทาง ติดตั้งกล้องถ่ายทอดสดให้ผู้สนใจชมออนไลน์ว่าพวกเขาทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง ส่วนด้านนอก มีนักศึกษาอาสาคอยดูแลจราจร  
 
                          สามวันผ่านไป สื่อเริ่มเรียกการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่าขบวนการนักศึกษาทานตะวัน หลังจากมีเจ้าของร้านดอกไม้แห่งหนึ่งส่งดอกทานตะวัน แทนกำลังใจให้นักศึกษา ทานตะวันจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ความหวังและแสงสว่าง 
 
                          กระนั้น มีครั้งหนึ่งที่เกิดการแตกแถว นักศึกษากลุ่มหนึ่งหวังขยายการเคลื่อนไหวด้วยการยึดอาคารที่ทำการคณะรัฐมนตรีเมื่อ 23 มีนาคม แต่ตำรวจเข้าสลาย หลินกล่าวว่าจริงอยู่ มีการหารือแผนการนั้น แต่เป้าหมายของเขาคือการไม่ทิ้งพื้นที่อาคารสภา เพราะเป็นไพ่ใบสำคัญที่สุด                      
 
                          สตีวี ลี เพื่อนร่วมชั้นของเฉิน ที่มหาวิทยาลัยซิงหัวแห่งชาติ ในฐานะผู้ประสานงานฝ่ายสื่อของผู้ประท้วงกล่าวว่า สองคนนี้เสริมจุดอ่อนจุดแข็งกันและกัน หลินสุขุมและเจ้าระเบียบ เป็นเสาหลักของกลยุทธ์เคลื่อนไหว และเป็นดาวเด่น เสื้อแจ็กเก็ตสีเขียวซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขากลายเป็นสินค้ายอดฮิต ขณะที่เฉิน ออกแนวบู๊สนใจรายละเอียดน้อยกว่า ถือเป็นความฮึกเหิมของขบวนการ นิสัยเลือดร้อนเป็นที่ทราบกันดี เพราะเคยปารองเท้าแตะข้างหนึ่งใส่เจ้าหน้าที่ ขณะประท้วงการเวนคืนที่ดินชาวบ้านไปใช้สร้างนิคมอุตสาหกรรมเมื่อหลายปีก่อน          
 
                          ปัจจุบัน หลิน เรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เติบโตในเมืองไถ้หนาน ทางตอนใต้ พ่อและแม่ทำธุรกิจอาหาร เข้าร่วมกิจกรรมประท้วงนักศึกษาครั้งแรกในปี 2551 เพื่อต่อต้านการเยือนของเจ้าหน้าที่จีนระดับสูง เมื่อเห็นตำรวจทุบตีผู้ประท้วงอย่างไม่ยั้ง จึงตระหนักว่าไต้หวันยังห่างไกลกับคำว่าประชาธิปไตยที่ปกครองโดยเคารพกฎหมาย      
 
                          ส่วน เฉิน เข้ามาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อน เติบโตทางตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวัน โดยมีลุงเป็นผู้เลี้ยงดู เป็นเด็กเรียนดี เข้าโรงเรียนมัธยมชั้นนำของกรุงไทเป โรงเรียนที่มีรุ่นพี่อย่างประธานาธิบดีหม่า ในปี 2549 เฉินทำข่าวให้กับหนังสือพิมพ์โรงเรียน โดยไปเยือนชุมชนไทเปแห่งหนึ่งเพื่อเจาะข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลกับชาวบ้านที่ไม่พอใจการถูกเวนคืนที่อยู่เพื่อทำเป็นนิคมอุตสาหกรรม เฉินกล่าวว่า "เมื่อได้เห็นกับตาว่าชาวบ้านไร้ทางต่อสู้เช่นนั้น ผมตระหนักว่าสิ่งที่ได้ร่ำเรียนเกี่ยวกับรัฐบาลในโรงเรียน เป็นเรื่องโกหก" 
 
                          ไม่กี่ปีหลังจากนั้น เฉินเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเชิงสังคม ตั้งแต่สิทธิแรงงาน ไปจนถึงสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองไต้หวัน และหาเลี้ยงตัวเองส่วนหนึ่งด้วยการทำงานหลายอย่าง รวมถึงขายร่มผลิตในไต้หวัน และถุงเท้า ตามแผงลอยข้างถนน    
 
                         รัฐบาลไต้หวันภายใต้ประธานาธิบดีหม่า อิง จิ่ว เพียรยืนยันว่า ข้อตกลงเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในภาคบริการกับจีน ที่สองฝ่ายลงนามเมื่อมิถุนายนปีที่แล้ว จะช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมและสานต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจของไต้หวัน เป็นเรื่องเศรษฐกิจล้วนๆไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่กระแสต่อต้านก่อตัวมานาน บนข้อสงสัยว่าบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้นหรือไม่ที่จะได้ประโยชน์ ส่วนบริษัทกลางและเล็กต้องดิ้นรนหนัก        
 
                          จากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ร่วมประท้วง "ความไม่โปร่งใสและไม่เป็นประชาธิปไตย" คือเหตุผลที่ได้ยินบ่อยที่สุดของการตัดสินใจร่วมชุมนุม พวกเขากล่าวว่า ไม่ปฏิเสธว่าเป็นข้อตกลงที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจที่แข่งขันดุเดือด ไม่ปฏิเสธการทำธุรกิจกับแผ่นดินใหญ่ แต่ติดใจกระบวนการเจรจาที่ไม่โปร่งใส ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้าร่วมรับฟังอย่างเหมาะสม ในส่วนของคนรุ่นใหม่ก็มีคำถามว่าข้อตกลงนี้จะยิ่งเพิ่มอัตราว่างงาน ทำให้ไต้หวันต้องพึ่งพาเศรษฐกิจกับจีนมากขึ้น และที่สุดจะบั่นทอนประชาธิปไตยของไต้หวันหรือไม่                   
 
                          การต่อต้านคัดค้านถึงจุดใช้เกมรุกด้วยการบุกยึดอาคารสภา หลังพรรคก๊กมินตั๋ง หรือพรรคชาตินิยม ใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภาผ่านข้อตกลงนี้รวดเดียวในวาระแรก ทั้งที่ตกลงกับฝ่ายค้านเมื่อปีที่แล้วว่าจะตรวจสอบข้อตกลงเป็นรายหมวด
 
                          หลังการยึดอาคารสภายืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 17 (พฤหัสบดีที่ 3 เม.ย.) ประธานาธิบดีหม่า ซึ่งมีเดิมพันอนาคตการเมืองที่กระชับสัมพันธ์เศรษฐกิจใกล้ชิดกับจีน ยืนกรานปฏิเสธถอนข้อตกลง แต่เห็นพ้องตั้งกลไกขึ้นมากำกับตรวจสอบข้อตกลงการค้ากับจีน รวมถึงการหารือกับภาคสังคมและกลไกจับตาด้านความมั่นคงของชาติ เพื่อยุติการยึดอาคารสภาที่ถูกตราหน้าว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่แกนนำการประท้วงอย่างหลินโต้ว่า "อารยะขัดขืนคือการฝืนกฎ หาไม่แล้ว คุณคิดว่าจะสู้กับระบบที่คุณไม่เห็นด้วย และนโยบายที่ไม่เป็นธรรมอย่างไร"