'สุทธิ อัชฌาศัย'นักสู้เพื่อสิทธิชุมชนแห่งมาบตาพุด
'สุทธิ อัชฌาศัย' นักสู้เพื่อสิทธิชุมชนแห่งมาบตาพุด
นักรบของประชาชน
ผู้มีอุดมการณ์
มักจนไส้แห้ง
คนอื่นมาก่อน ตัวเองเสมอ
ส่วนตน ขึ้นต่อส่วนรวม
และเรามักถูกเยาะเย้ย ถากถาง
ว่า "ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย จะช่วยสังคมได้อย่างไร"
..................
สุนทร รักษ์รงค์ นักเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากแดนใต้ กลั่นความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวใจ เป็นบทกวีไว้อาลัยสหายร่วมอุดมการณ์ "สุทธิ อัชฌาศัย" นักสู้ผู้จากไปก่อนวัยอันควร
"สุทธิ" วัย 38 ปี มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 115 หมู่ 7 ต.บ้านแลง อ.เมือง จ.ระยอง ที่บ้านทำสวนยางพาราและสวนผลไม้ จบการศึกษาระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนระยองวิทยาคม แล้วเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ระดับมัธยมปลาย ที่โรงเรียนวัดราชบพิธ
ต่อมา "สุทธิ" เข้าศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นนักกิจกรรมในนาม "ชมรมศึกษาปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม ม.รามคำแหง" นอกจากนั้น เขายังเคยทำกิจกรรมร่วมกับ สุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ปี 2538
หลังจากเรียนจบรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง "สุทธิ" ทำงานให้สมาคมร่วมกันสร้าง ทำเกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัยให้คนที่อยู่สลัมในกรุงเทพฯ แล้วก็ไปทำงานที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ของสุวิทย์ วัดหนู และในที่สุดได้เป็นผู้ประสานงานกับทีมสมัชชาคนจน
นักสู้ภาคประชาชนที่เป็นต้นแบบของ "สุทธิ" จึงมีอยู่ 2 คนคือ "มด" วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งสมัชชาคนจน และอีกคนหนึ่งคือ สุวิทย์ วัดหนู สองผู้นำมวลชนที่ล่วงลับไปแล้ว
หลังจากทำงานได้สักระยะหนึ่ง "สุทธิ" ก็กลับบ้านเกิด จ.ระยอง ไปดูแลแม่ และทำสวน เขาจึงเลือกที่จะทำงานประจำที่ อบต.แถวบ้าน ซึ่งทำได้สักพักก็ลาออก เพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ จึงหันกลับมาเป็นเอ็นจีโออีกครั้ง โดยเป็นผู้ประสานงานโครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ ของมูลนิธิชุมชนไท ปี 2542
ปี 2548 เป็นปีที่เกิดวิกฤติน้ำอย่างรุนแรง ที่ภาคตะวันออกมีน้ำไม่พอใช้ จึงเป็นเหตุของการรวมกลุ่มของเกษตรกร และชาวชุมชนเมืองที่ใช้น้ำอุปโภคบริโภค
ต้นเหตุของปัญหาดังกล่าว ก็คือรัฐบาลทักษิณ มีนโยบายผันน้ำให้กลุ่มอุตสาหกรรมใช้ "สุทธิ" จึงลุกขึ้นมานำชาวบ้านต่อสู้เป็นครั้งแรก เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรน้ำ
เนื่องจากวิกฤติภัยแล้งในภาคตะวันออกไม่ได้เกิดที่ จ.ระยอง ที่เดียว แต่เป็นทั้งภูมิภาค "สุทธิ" จึงดึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และสถาปนาขึ้นมาเป็น "เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก" เรียกร้องกับรัฐบาลทักษิณเพื่อให้จัดการบริหารทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรมแล้วก็เท่าเทียมกันในทุกภาคส่วน
ระหว่างที่เรียกร้องเรื่องการบริหารจัดการน้ำอยู่นั้น ก็เกิด "ปรากฏการณ์สนธิ" ในช่วงปลายปี 2548 "สุทธิ" ก็ได้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตร ภาคตะวันออก
จากกรณีปัญหาน้ำ "สุทธิ" ก็เปิดประเด็น "มลพิษอุตสาหกรรม" ที่มาบตาพุด อันส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จึงชักชวนชาวบ้านที่มาบตาพุดมาเรียกร้องให้มีการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์
ต่อสู้กันมา 1 ปี ทางรัฐบาลขิงแก่ก็ไม่ประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ "สุทธิ" เลยตัดสินใจฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ให้ประกาศมาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2545 ท้ายที่สุดก็ชนะคดี ศาลประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เครื่องมือที่สุทธิใช้ต่อสู้กับกลุ่มทุนอุตสาหกรรมคือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ว่าเรื่องสิทธิชุมชน โดยเฉพาะการปกป้องสิทธิพลเมือง ตามรัฐธรรมนูญ 67 วรรคสอง จะเป็นการคุ้มครอง หรือเป็นการวางเกราะป้องกันไม่ให้ปัญหาการพัฒนาไปเหลื่อมล้ำภาคส่วนต่างๆ
ปี 2552 "สุทธิ" ตัดสินใจเข้าร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ และได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหาร ด้วยหวังที่จะทำให้เป็น "พรรคมวลชน" ไม่ใช่แค่ให้ชนะเลือกตั้งแล้วเข้าไปนั่งเป็น ส.ส.ในสภา แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งภายในพรรค เขาก็ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค
สองปีที่ผ่านมา "สุทธิ" ได้หันมาดูแลครอบครัวมากขึ้น และเปิดร้านอาหารชื่อวันวาน(นี้) ที่บริเวณริมถนนสายระยอง-บ้านแลง ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องปิดตัวไป
จากความล้มเหลวในการทำร้านอาหาร ได้ก่อให้เกิดหนี้สินหลักล้าน ประกอบกับในการเคลื่อนไหวมวลชน นับตั้งแต่ปี 2548 "สุทธิ" ต้องกู้หนี้ยืมสิน เอาที่ดินไปจำนอง เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการเคลื่อนไหวทุกครั้ง การเดินทางพามวลชนไปแต่ละครั้ง ไม่เคยมีทุนรอน ไม่มีใครรับผิดชอบ นอกจากตัวเขาเอง มาถึงวันนี้ต้องเป็นหนี้มากมาย
แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็พลันบังเกิด...เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 15 กรกฎาคม สุทธิได้ขับรถกระบะเข้ามาจอดในโรงรถข้างบ้าน ซึ่งมารดาทำกับข้าวอยู่ในครัว เขาได้เข้ามาถามมารดาว่า วันนี้ทำอะไรกิน หลังจากถามแล้วก็เดินออกจากครัว
เสียงปืนดังขึ้น 3 นัด มารดาวิ่งออกจากครัวมาพบลูกชายฟุบอยู่กับพวงมาลัยรถ ที่มือขวากำปืนอยู่ในมือ หลังจากนั้น ข่าวนักสู้เพื่อมวลชนปลิดชีพตัวเองได้แพร่กระจายผ่านสื่อออนไลน์ไปอย่างรวดเร็ว
มณฑล อัชฌาศัย พี่ชายของสุทธิ พูดถึงน้องชายสั้นๆ ว่า เขาเคยบ่นว่าเครียดเรื่องเงินหมุนไม่ทัน และเคยเอ่ยปากยืมเงินตน
นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของภาคประชาชน มิต่างจากครั้งที่ "มด" วนิดา กับ "สุวิทย์" จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
...................
(หมายเหตุ : 'สุทธิ อัชฌาศัย' นักสู้เพื่อสิทธิชุมชนแห่งมาบตาพุด)