
แกนโลกเอียงร้อนตับแตก"สมิทธ"ชี้ปีนี้ไทยทะลุ42องศา
30 ม.ค. 2552
"สมิทธ" ชี้ปีนี้ไทยร้อนจัด อุณหภูมิพุ่ง 42 องศา เหตุแกนโลกสวิงเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว หวั่นมีผู้เสียชีวิตจากภาวะคลื่นความร้อนอื้อ เชื่อจะได้เห็นน้ำท่วมกรุงเทพฯ เร็วขึ้น เผยภาวะร้อนจัดส่งผลให้ฤดูฝนปีนี้ผิดปกติไปด้วย เตือนหลายฝ่ายรับ
ยังคงเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอากาศของโลกที่แปรปรวนตลอดเวลา โดยในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทั่วโลกเกิดภาวะอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง อีกทั้งต้องประสบภัยพิบัติต่างๆ มากมาย โดยสาเหตุของภาวะอากาศหนาวเย็นดังกล่าว บรรดาผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะแกนโลกหมุนเอียงออกจากดวงอาทิตย์มากกว่าปกติ ทำให้เกิดอากาศหนาวเย็นยาวนาน ล่าสุดอดีตประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ออกมาเตือนว่า ปีนี้โลกจะต้องประสบภาวะอากาศร้อนจัดเช่นกัน เนื่องจากแกนโลกสวิงกลับหมุนหาเข้าดวงอาทิตย์มากกว่าปกติ
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยถึงแนวโน้มการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติในปี 2552 ว่า กรมอุตุนิยมวิทยากำลังจับตาดูอยู่ เพราะอากาศที่ปกคลุมประเทศไทยในปีนี้มีความผิดปกติพอสมควร โดยเฉพาะฤดูหนาวที่มีลมมรสุมจากตะวันออกเฉียงเหนือ มีกำลังพัดแรงที่มาพร้อมกับอากาศเย็นจากประเทศจีนส่งผลถึงไทย ทำให้ช่วงฤดูหนาวไทยมีความเย็นผิดปกติต่อเนื่องระยะยาว และยังทำให้เกิดคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยที่เรียกว่า สตอร์มเซิร์จ ขนาดเล็ก ทำให้บ้านเรือนริมชายฝั่งได้รับผลกระทบ ตั้งแต่ จ.เพชรบุรีถึง จ.สตูล ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติจากปีก่อนๆ และมีความรุนแรงมากกว่า
นายสมิทธ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังดูอยู่ว่าทำไมปีนี้อากาศเย็นจากขั้วโลกเหนือจึงเย็นลงมาจนถึงพื้นที่เส้นศูนย์สูตร อีกทั้งยังหนาวเย็นเป็นระยะยาวต่อเนื่องมากผิดปกติ ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งพบว่าบางแห่งเกิดปรากฏการณ์พายุหิมะตกผิดปกติ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าภาวะดังกล่าวเกิดจากแกนโลกหมุนเอียงออกจากดวงอาทิตย์มากกว่าปกติหรือไม่ โดยอยู่ที่ประมาณ 23.5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศที่อยู่ซีกโลกเหนือจะมีความหนาวเย็นมากผิดปกติ หากเป็นเช่นนั้นจริง แกนโลกจะสวิงกลับ โลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์มากกว่าปกติเช่นกัน ส่งผลให้หน้าร้อนที่กำลังมากถึงร้อนมากขึ้น
นายสมิทธ กล่าวอีกว่า จากภาวะดังกล่าวจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยจะมีอากาศร้อนมากกว่าปกติ กระทบต่อภาคการเกษตร จำนวนผลผลิตลงลง ตั้งแต่ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และพืชการเกษตรส่งออกทั้งหมด ขณะเดียวกันศัตรูพืชจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากภาวะคลื่นความร้อนมากขึ้น ซึ่งที่อินเดียมีคนเสียชีวิตทุกปี และประเทศไทยอาจมีผู้เสียชีวิตได้ในพื้นที่ร้อนจัด เช่นที่ จ.ตาก และ จ.อุตรดิตถ์ แต่ทั้งนี้ฤดูร้อนอาจมีระยะเวลาที่สั้นกว่าปีที่ผ่านๆ มาได้ ต่อจากนั้นจะเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งมีมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดมาจากมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน จะทำให้มีพายุมากขึ้น ซ้ำยังรุนแรงมากกว่าปกติ ซึ่งในช่วงนี้ประเทศไทยจะประสบภัยพิบัติจากพายุ ทั้งจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ทำให้บ้านเรือนเสียหายอย่างมาก
ขอให้ติดตามดูฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเริ่มในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ไม่ใช่ต้นเดือนกุมภาพันธ์อย่างเมื่อปีก่อนๆ ต้องดูว่า อากาศร้อนมีความร้อนจัดจนอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นผิดปกติหรือไม่ เชื่อว่าประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ 42 องศาเซลเซียส ผลที่ตามมาคือทำให้ฤดูฝนผิดปกติไปด้วย กระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งหมด
นายสมิทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนสาเหตุที่ทำให้โลกเอียง คือ 1.เป็นไปโดยธรรมชาติ 2.เป็นเพราะการกระทำของมนุษย์ เนื่องจากมีการวิเคราะห์ว่า การที่ประเทศจีนและอีกหลายๆ ประเทศสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำไว้เหนือเส้นศูนย์สูตรเป็นปริมาณมหาศาล จำนวนล้านๆ ลูกบาศก์เมตร เมื่อน้ำถูกเก็บไว้ในเขื่อนจนเต็ม ส่งผลให้โลกเสียสมดุลทำให้แกนโลกเอียงผิดปกติได้ แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ หรือแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นอีก นายสมิทธ กล่าวว่า อาจมีความเป็นไปได้ เพราะเมื่อโลกเอียงเข้าเอียงออก ปริมาณมวลโลกจะมีการเคลื่อนตัว เกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ขณะนี้ก็เกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะๆ แล้ว แต่ยังไม่เคลื่อนตัวมากพอที่เกิดสึนามิได้ อย่างไรก็ตามปกติการเกิดแผ่นดินไหวมีวัฏจักรอาจไม่เกิดในมหาสมุทรอินเดีย แต่อาจเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกได้
นายสมิทธ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อภัยพิบัติธรรมชาติต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่สิ่งที่กลัวกันมากๆ คือ น้ำท่วม กทม. ซึ่งคาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี จึงจะเห็น แต่หากอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้ โดยโลกเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ เหตุการณ์น้ำท่วม กทม.อาจมาเร็วขึ้นภายใน 10-15 ปี เพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว จึงควรมีโนบายป้องกัน เช่น การสร้างเขื่อนกั้นบริเวณปากแม่น้ำทั้ง 4 แห่ง คือ แม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง แม่กลอง และท่าจีน โดยใช้งบประมาณแค่การสร้างรถไฟฟ้า 1 สาย ต้องทำเป็นนโยบายระดับชาติ แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมอะไรในเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นเลย เพราะนักการเมืองต่างห่วงเก้าอี้มากกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งที่มีนักวิชาการออกมาเตือนให้ทำเขื่อนป้องกันกรุงเทพฯ แต่เรื่องก็เงียบไป ไม่มีนักการเมืองสนใจ เพราะห่วงต้องใช้เงินมากแต่ยังน้อยกว่าผลกระทบจะเกิดขึ้น ช่วยชะลอความเสียหายออกไปอีก 10-20 ปีได้
ถ้าหน้าร้อนในปีนี้มีอุณหภูมิร้อนมากผิดปกติ แสดงว่าทฤษฎีของผมถูก ซึ่งอุณหภูมิประเทศจะสูงประมาณ 42 องศาเซลเซียสขึ้นไป ต่อมาจะมีฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่า โอกาสที่น้ำจะท่วม กทม.แบบถาวรจะมาเร็วขึ้น จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 20 ปีข้างหน้า อาจได้เห็นภายใน 10 ปีนี้ก็เป็นได้ โดยสิ่งที่กล่าวมาไม่ได้ต้องการสร้างความตื่นตระหนก แต่อยากให้เตรียมความพร้อมไว้ นายสมิทธ กล่าว
วันเดียวกัน นพ.ชาตรี เจริญชีวะกูล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวภายหลังการประชุมการจัดการภัยพิบัติสำหรับประเทศไทย ว่า ทุกวันนี้คนไทยอ่อนซ้อมเรื่องการหนีภัยและวิธีการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในตึกสูง และภัยพิบัติจากธรรมชาติ ทั้งนี้ การซ้อมรับมือภัยพิบัติตึกสูงควรจะทำอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ใหญ่ ที่มีความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินฯ จะเป็นแม่ข่ายในการประสานงานความช่วยเหลือจากทุกองค์กร