
ตระกูลชินวัตรยกครัวร่วมประชุมเพื่อไทยที่เชียงใหม่
ตระกูลชินวัตรยกครอบครัวร่วมประชุมพรรคเพื่อไทยที่เชียงใหม่ เปิดเสวนาดาหน้าฉะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ด้าน"เจ๊แดง" ยาหอมขอบคุณน้ำใจที่ล่ารายชื่อถวายฎีกาพาทักษิณกลับ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 ก.ค. 2552 ที่ห้องกาสะลองทองกวาว โรงแรมพรพิงค์ทาวเวอร์ จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 1 จ.เชียงใหม่ขึ้น โดยมีกรรมการบริหารพรรค ส.ส. สมาชิกพรรคและแกนนำเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เข้าร่วม ทั้งนี้มีเครือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แก่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมครอบครัว คือ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ บุตรสาว รวมถึงนายพายัพ ชินวัตร นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องชายและน้องพ.ต.ท.ทักษิณมาร่วมสังเกตการณ์
ในการประชุมในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประมาณ 250 คน เริ่มจากเวลา 09.35 น.นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาบรรยายพิเศษเรื่อง “เหลียวหลังแลหน้า จับชีพจรเศรษฐกิจไทย”ซึ่งการบรรยายมุ่งเน้นเปรียบเทียบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยกับประเทศอเมริกา จีนและเกาหลีใต้ที่ระบุว่ารัฐบาลไทยแก้ปัญหาไม่ถูกทาง ทุ่มเงินแจกโดยไม่มีการหมุนเวียนกระจายรายได้เช่นกับ 3 ประเทศดังกล่าว ซึ่งเขามุ่งเน้นให้เกิดการจ้างงานมากกว่าที่จะละลายเงินแจกเช็คช่วยชาติหัวละ 2,000 บาท
ต่อมาในเวลา 10.25 น.ได้มีเสวนาเรื่อง “ทางออกประเทศล้างหนี้สร้างรายได้ให้ประชาชน” โดยผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ดร.สุชาติ ธาดาดำรงเวช อดีต รมว.คลัง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ ในฐานะประธานกรรมาธิการการเงินการคลังวิปรัฐบาล นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่
ดร.สุชาติ ธาดาดำรงเวช อดีตรมว.คลัง กล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีของไทยปีนี้ติดลบ 7.1 อัตราการว่างงาน 4 % คิดเป็นประมาณ 1.2 ล้านคน ซึ่งจะก่อให้เกิด 2 ปัญหาใหญ่ คือ เงินเฟ้อติดลบซึ่งแปลว่าขายของจะขาดทุนหรือต้องดั๊มพ์ราคาเพื่อให้ขายได้ ลดการจ้างงานซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะเงินฝืดตามมา และที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าในไตรมาสที่ 4 จะดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าคนจะกลับมามีงานมากขึ้น แต่เป็นเพราะไตรมาสก่อนหน้านี้ย่ำแย่จากการปิดสนามบินต่างหาก ซึ่งโดยสรุปแล้วปัญหาเกิดจากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ไม่มีทิศทาง รัฐบาลขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาคนยากคนจน
สรุปแล้วรัฐบาลนี้ทำ 3 อย่างคือ กู้หนี้ ขึ้นภาษี ไล่บี้ทักษิณ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่ตั้งรายจ่ายนอกงบประมาณที่ 8 แสนล้านบาท ในปี 2551 ยอดหนี้คนไทยอยู่ที่ประมาณ 52 ,399 บาท/คน คาดว่าปี 2557 ยอดหนี้อยู่ที่ 100,892 บาท/คน ขณะที่สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ติดลบเป็นแสนล้าน ดอกเบี้ยเงินฝากเพียง 1% แต่ดอกเบี้ยเงินกู้สูง 6-7 % ปัญหาคือโครงการเอสเอ็มแอลถูกตัดไปหมด โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกตัดงบฯไป 5 หมื่นล้าน
"พ.ต.ท.ทักษิณได้มอบข้อสนอแนะในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมายังรัฐบาลชุดนี้คือต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีทิศทาง จากนั้นวางแผนหาเงินแล้วเริ่มปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งหลังจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นไปแล้วให้ไปศึกษาอุตสาหกรรมโลกว่าอุตสาหรรมประเภทใดที่เป็นดาวเด่นและอุตสาหกรรมใดที่เราไปแข่งขันไม่ได้ "ดร.สุชาติ กล่าว
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในส่วนของโอทอปและเอสเอ็มอีนั้นถือเป็นรายกลางและรายเล็กที่อยู่ปลายทางนั้นไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล จากสถิติโอทอปที่เป็นกลุ่มดาวรุ่งนั้นเดิมมีอยู่ถึง 7,300 รายที่ประสบควาสำเร็จ บางส่วนมีการส่งออกไปต่างประเทศและยอดจำหน่ายระหว่างปี 2544-2547 ต่อเนื่องถึงปัจจุบันนั้นน่าจะมีถึงแสนกว่าล้าน แต่รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญเพราะเห็นเพียงว่าเป็นนโยบายฝ่ายตรงข้าม จึงขอวอนให้รัฐบาลเข้ามาส่งเสิรม
สำหรับตัวเลขของหน่วยงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระบุว่าตัวเลขการส่งออกปีนี้นั้นติดลบถึง 19 % นำเข้าติดลบ24 % แล้วปี2553จะเป็นบวกได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าต้นปีธุรกิจเอสเอ็มอีปิดตัวลงประมาณเดือนละ 3,000 ราย ไตรมาสที่3ปิดตัวลงเพิ่มเป็น 5,000 ราย และปัจจุบันตัวเลขจดทะเบียนนิติบุคคลก็ลดลงตามลำดับ
“รัฐบาลนี้ปรับลดงบฯส่งเสริมโอทอปและเอสเอ็มอีทั้งในส่วนของงบฯเพิ่มเติมปี 52 งบประมาณปี 53 และโครงการไทยเข้มแข็งระยะที่ 1 จากงบประมาณ 2 ล้านล้านบาทกลับนำมาช่วยเอสเอ็มอีและโอทอปเพียง 582 ล้านบาทซึ่งคิอเป็นเงิน 0.02 % ที่กู้มาให้คนไทยเป็นหนี้เท่านั้น ธนาคารเอสเอ็มอีได้รับการเพิ่มทุน 5,000 ล้านบาทแต่เวลาไปขอกู้แสนยากลำบาก จึงอดคิดไม่ได้ที่จะคิดว่านำไปอุ้มรายใหญ่มากกว่า”ดร.ปานปรีย์กล่าว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ กล่าวว่า ในส่วนของโอทอปของเรานั้นมองว่าผู้ประกอบการน่าจะนำความคิดสร้างสรรค์เข้ามาช่วยให้มาก เช่นออกแบบนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสแพนด้าน้อยที่กำลังมาแรงชูเป็นจุดขาย หรือในส่วนของโครงการเมดดิคอลฮับหรือทำประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นั้น ปี 2550 ตัวเลขชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทยมีถึง 1.4 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 3.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2546 มีคนไข้ต่างประเทศเข้ามารักษาในไทย 9.7 แสนคน คิดเป็นมูลค่ารายได้ 2.4 หมื่นล้านบาท หากพ.ต.ท.ทักษิณไม่โดนปฏิวัติไล่ออกประเทศรายได้จะเข้าประเทศถึง 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราไม่มั่นใจว่าหลังจากนี้ไปรัฐบาลชุดนี้จะทำได้หรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการเสวนายังไม่จบ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัวได้เดินทางกลับ โดยมีแกนนำเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 คือนางสาวกัญญาภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม มารอพบอยู่ที่หน้าห้องประชุมและรายงานความคืบหน้าของการต่อสู้ของกลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่
นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า กรณีที่ประชาชนมีการล่ารายชื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับประเทศไทยนั้น ทางครอบครัวของเรามองว่าเป็นความต้องการของประชาชนทางเราไม่มีความคิดเห็น แต่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่วันนี้มีหลายคนตื่นตัว มองว่าเป็นเรื่องของน้ำใจที่เขาอาจประทับใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำงานในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ทางครอบครัวของเรารู้สึกประทับใจและขอขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจ และอยากจะขออวยพรให้ พ.ต.ท.ทักษิณให้มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ซึ่งการมาประชุมพรรคครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศเป็นห่วงเรื่องโอทอปและเอสเอ็มอีรวมถึงกองทุนหมู่บ้านซึ่งเป็นการแก้ปัญหาให้ประชาชนไว้ค้างเก่า และได้ส่งคำแนะนำมาให้คำปรึกษาในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนและยังส่งกำลังใจให้กับพวกที่อยู่ที่นี่ให้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป