
ไม่ใช่เวลา"เปลี่ยนม้ากลางศึก"
หมายเรียกข้อหา ผู้ก่อการร้าย ที่พุ่งตรงไปยังหัวขบวนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 36 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นรวม กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศอยู่ด้วย
กำลังจะกลายเป็น “ปมร้อนๆ” ที่ทิ่มแทงให้เกิดรอยร้าว บาดลึกลงในความสัมพันธ์ “กองทัพ-พรรคประชาธิปัตย์-และพันธมิตร” ซึ่งนับเป็น 3 ขาอำนาจที่ต่างประกอบกำลังกันสถาปนารัฐบาลนี้ขึ้น
แม้ในแง่ยุทธศาสตร์ใหญ่ สถานการณ์ที่ข้าศึกสีแดง รายล้อมอยู่รอบกำแพงเมืองนั้น อำนาจทั้ง 3 เส้านั้น ต้องเกาะเกี่ยว สัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นที่สุด เพื่อคงสถานะ “รัฐบาล” ให้แข็งแกร่งที่สุด
เพราะต่างมีศัตรูตัวเดียวกันที่ต้องจัดการ นั่นคือ “ขบวนการทักษิณ” !!!
ยิ่งภาวะที่ “ทักษิณ” ปูพรม โฟนอิน ปลุกระดมความคลั่งแค้นทุกหย่อมหญ้า ให้พร้อมลุกขึ้นมาร่วมต่อสู้ในศึก “อภิมหาสงครามแค้น” ด้วยแล้ว อำนาจ 3 เส้ายิ่งต้องสามัคคีกันให้มากกว่าสถานการณ์ปกติหลายเท่าตัว
ดังนั้นในช่วงนี้ ถึงอย่างไร “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไม่อาจจะหาญกล้า ปลด “กษิต” พ้นจากเก้าอี้เสนาบดีได้
เพราะสถานะของ “กษิต” ไม่เหมือน “วิฑูรย์ นามบุตร”
กรณี “วิฑูรย์” ที่ต้องกระเด็นจากรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีอื้อฉาวปลากระป๋องเน่า แม้ความผิดจะสาวไม่ถึงตัว แต่เพราะ “วิฑูรย์” เป็น “ลูกหม้อ” ของพรรคประชาธิปัตย์
เป็น “หมาก” ของพรรค จะสั่งให้เดินไปตายเพื่อรักษา “ขุน” ก็ต้องเดิน ไม่จำเป็นต้องแคร์ หรือกังวลว่าจะกระทบอะไรกับใครทั้งสิ้น
แต่ “กษิต” เป็นคนละเรื่อง !!!
เพราะ "มิสเตอร์ ภิรมย์” คนนี้ ก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ด้วยต้นทุนจากการเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ลุยศึกสงคราม โค่นล้มรัฐบาลนอมินีทักษิณ
เป็นลักษณะการ “สมนาคุณ” ให้แก่ขุนทหารที่หาญกล้า
ถึงแม้จะต้องสู้กับกระแสต่อต้าน มากมายขนาดไหน แต่ "แม่ทัพอภิสิทธิ์" ก็ยังต้องรักษาไว้
เพื่อยืนยันว่าการต่อสู้ถวายหัวเพื่อรุกรบกับศัตรู ย่อมได้รับการตอบแทนที่สมคุณค่า เป็นหลักการสำคัญในการปกครองไพร่พลของคนที่เป็น “ผู้นำ”
ขืนปลดทิ้งพ้น ครม. จะอธิบายกับ “มหามิตร” อย่าง “พันธมิตร” อย่างไร
โดยเฉพาะปลดจากข้อกล่าวหาที่ดูเหมือนจะมีธงของ “ตำรวจ” ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” กับพันธมิตรมายาวนาน โดยไม่รอขั้นตอนพิสูจน์ความผิดมากกว่านี้
ยิ่งจะเป็นการทำลายขวัญกำลังใจมวลชน “สีเหลือง” อย่างหนักหน่วง
ขนาดยังไม่ทันแตะต้องแม้แต่ผิว “กษิต” แต่ “คำนูณ สิทธิสมาน” ร่างเงา “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็ฟาดเข้าแรงๆ แทงตรงกลางใจนายกฯ ว่า “จริงใจ” กันหรือไม่
แม้ว่าวันนี้ “ระดับนำ” ใน “พันธมิตร” จะ “ฟันธง” ชัดแล้วว่า ไม่ยืมจมูก “ประชาธิปัตย์” หายใจอีกต่อไป
แต่ก็ไม่จำเป็นที่ “ประชาธิปัตย์” จะต้องขยี้ความสัมพันธ์กับพันธมิตร ให้เลวร้ายลงกว่าเดิม โดยเชือด “กษิต” ตามกระแสเสื้อแดง และนักวิชาการบางส่วน
เพราะอย่าลืมว่า “พรรคการเมืองใหม่” ของพันธมิตรนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นฐานที่เหนียวแน่นของ “ประชาธิปัตย์” มวลชนในพื้นที่ก็ยังสองจิตสองใจ
ดังนั้น การทะเลาะกับพันธมิตร ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ
กลับกันหากเดินเกม “ซื้อใจ” มวลชนสีเหลือง ด้วยการแสดงความจริงใจกับ “กษิต” ย่อมจะเป็นการ “ยึด” มวลชนดั้งเดิมไม่ให้เกิดอาการ “สวิง” ถ่ายโอนไปให้แก่ “พรรคการเมืองใหม่” ได้
ขณะที่ฟากฝั่งของ "กองทัพ" แม้จะมีเสียงกระแอม จาก “บิ๊กสีเขียว” ให้ “ทบทวน” การดำรงอยู่ของ “กษิต” จากท่าทีทางการทูตแบบ “ฮาร์ดคอร์” เกรี้ยวกราด ปากไวกว่าใจคิด พาลเอาเหล่าทัพต้องตามเช็ดตามล้างกันอยู่บ่อยๆ
แต่ก็ไม่ถึงขั้น “ยื่นโนติส” ให้ต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก
เพราะรู้ดีว่าการทิ่ม “กษิต” ออกจากตำแหน่งรัฐบาลนั้น ทำให้เกิดการ “สั่นคลอน” อย่างยิ่ง
นอกจากจะนำไปสู่ปรากฏการณ์ “เก้าอี้ดนตรี” ในพรรคร่วมแล้ว ในทางการเมืองถือว่า “เสียท่า” ยอมรับในข้อหา “ก่อการร้าย” ต่อฝ่ายตรงข้าม กลายเป็นเชื้อให้ “ขบวนการสีแดง” ต่อยอดไล่บี้ไม่สิ้นสุด
โครงสร้างอำนาจ 3 เส้าระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์-กองทัพ-พันธมิตร วันนี้ เชื่อว่าจึงยังอยู่ในสภาพต่างคนต่างขาดกันไม่ได้ ต้องกอดคอต่อสู้กับ “ขบวนการทักษิณ” จนจบภารกิจ
แม้ว่าระยะหลัง ขุมกำลังของ “สีน้ำเงิน” จ้องเข้ามาเสียบเป็น “ตัวแปร” แทน “สีเหลือง”
แต่ก็ยังไม่ใช่ “ขาใหญ่” เท่ากับ “ขา” ของพันธมิตรอยู่ดี
ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่มีการปลด “กษิต” ออกเพื่อเติม “เชื้อแค้น” ในพวกตัวเอง และเปิดช่องให้ “ข้าศึก” ถล่มซ้ำอย่างเด็ดขาด
เสถียร วิริยะพรรณพงศา