
สปากระเป๋าธุรกิจฮิตพิชิตใจสาวกแบรนด์เนมหรู
สปากระเป๋าธุรกิจฮิต พิชิตใจสาวกแบรนด์เนมหรู : คมคิดธุรกิจนิวเจน
"กระเป๋า" สำหรับผู้หญิงถือเป็นเสมือนเครื่องประดับที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะแบรนด์ดังๆ อย่างแอร์เมส ชาแนล ปราดา หรือหลุยส์ แม้ว่าราคาจะแพงแสนแพง แต่บรรดาสาวๆ ก็ใฝ่ฝันว่าจะมีไว้ในครอบครองสักใบ และด้วยราคาระดับหลักหมื่นบาทขึ้นไป จนแพงลิ่วถึงล้านบาท ทำให้กระเป๋าแบรนด์ดังกลายเป็นของรักของหวงที่ต้องดูแลประคบประหงมอย่างดี ซึ่งในจุดนี้เองจึงก่อให้เกิดธุรกิจ "สปากระเป๋า" ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง และเติบโตต่อเนื่อง
"โมโมโกะ"เจ้าแรกร้านพันธุ์ไทย
"โมโมโกะ" เป็นหนึ่งในร้านสปารองเท้า-กระเป๋าในย่านทองหล่อ ซึ่งเจ้าของร้านสาวสวยวัย 32 ปี "สิรัชชา พัชรโสภาชัย" หรือ มิน กล้าการันตีว่า เมื่อ 7 ปีก่อนร้านของเธอเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย โดยธุรกิจนี้เกิดจากความชื่นชอบในกระเป๋าแบรนด์เนมตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ด้วยราคาแพงและยังขอเงินคุณแม่ซื้อ จึงมีไม่กี่ใบที่ใช้งานบ่อยครั้งจนเยิน แต่ก็ไม่ค่อยกล้าขอเงินซื้อใบใหม่ ครั้นจะขายต่อก็ราคาตก เลยพยายามหาข้อมูลตามเว็บไซต์เกี่ยวกับร้านทำความสะอาดกระเป๋าว่าจะทำให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้หรือไม่ แต่ก็ไม่พบข้อมูล สุดท้ายไปถามจากช่างในโรงงานเย็บกระเป๋า ได้น้ำยามาทำความสะอาดกระเป๋าให้กลับมาสวยเหมือนเดิม เมื่อเพื่อนๆ เห็นก็สนใจฝากมาทำความสะอาดบ้าง ซ่อมแซมบ้าง จนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 100 ใบ
นั้นคลิกเลยว่าน่าจะลองทำเป็นธุรกิจจริงจังเลยดีกว่า แม้หลังจากเรียนมาร์เก็ตติ้งจบก็ไปทำงานประจำที่ไนกี้และลีวายส์ แต่ก็มองหาทำเลเปิดร้านไปด้วย มาได้ที่โครงการเอสทองหล่อก่อนจะย้ายมาที่เจอเวนิว ตอนนั้นมองว่าย่านทองหล่อเป็นแหล่งที่คนมีกำลังใช้จ่าย คนใช้แบรนด์เนมน่าจะอยู่แถวนี้ ซึ่งช่วงแรกก็เงียบมาก แม้ว่าจะเริ่มมีลูกค้ารู้จักและมาใช้บริการจำนวนหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่ได้รับการบอกต่อและลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำจนเป็นขาประจำ หรือบางคนก็ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต"
สำหรับการลงทุนเปิดร้านครั้งแรกนั้น เธอใช้เงินก้อนแรก 1.5 ล้านบาท เป็นการลงทุนด้านบุคลากรเป็นหลัก โดยไปดึงตัวช่างจากโรงงานกระเป๋าของญาติมา 3 คน ส่งไปเรียนหลักสูตรทำสปากระเป๋าที่ต่างประเทศ คือ อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ในส่วนตัวร้าน มินบอกว่า ลงทุนไม่มากมีเพื่อนๆ มาช่วยกันออกแบบตกแต่ง มีค่าเช่าร้านเดือนละ 2.8 หมื่นบาท ดำเนินกิจการได้ 2 เดือนตัดสินใจมาดูทำเลที่อเวนิวทองหล่อ 15 ซึ่งเปิดร้านได้ประมาณเดือนกว่ามีลูกค้าแห่มาใช้บริการเยอะมาก จนต้องรอคิว และลูกค้าทะลักออกไปข้างนอก ทำให้เจ้าของร้านข้างๆ เห็นใจยอมให้เช่าห้องเพิ่ม จึงขยายร้านใหญ่ขึ้น
มินบอกว่าแม้ร้านใหม่จะต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละกว่า 4 หมื่นบาท แต่ลูกค้าก็เพิ่มมากขึ้นและการเดินทางสะดวกด้วยเช่นกัน ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำมา 3 ปี เพื่อเดินหน้าธุรกิจของตัวเองเต็มตัว และเพราะทั้งร้านมีพนักงานอยู่ 1 กับช่างอีก 3 คน ทำให้ต้องเข้าไปคลุกคลีทุกขั้นตอนการทำงาน ต้องตัดสินใจแก้ปัญหาได้รวดเร็ว ต้องเรียนรู้อย่างจริงจัง รวมถึงงานหน้าร้านที่ต้องศึกษาว่ากระเป๋าแต่ละแบรนด์เป็นอย่างไร ใช้วัสดุแบบไหนต้องทำความสะอาดด้วยน้ำยาอะไรเพื่อจะได้อธิบายกับลูกค้าได้ถูกต้องแม่นยำ จนปัจจุบันแค่เห็นในระยะ 1 เมตร ก็สามารถแยกแยะได้ทันทีระหว่างกระเป๋าแบรนด์เนมกับของปลอม
จากร้านเล็กๆ ในวันนั้น ปัจจุบันได้ขยับขยายมาเปิดโรงงานที่เอกมัย มีจำนวนพนักงานทั้งสิ้น 160 คน โดยทุกคนล้วนต้องผ่านการอบรมและลงมือทำงานกับเธอ เพื่อทดสอบว่าทำงได้จริงเสียก่อน เรียกว่าคัดเลือกและตรวจคิวซีด้วยตัวเองเลยทีเดียว ส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการมีทั้งคนทั่วไป จนถึงดารา เซเลบ อย่าง "เอ" ศุภชัย และ "อั้ม" พัชราภา ขณะที่กระเป๋าก็มีทุกแบรนด์ดัง แพงที่สุดเป็นแอร์เมสรุ่นหิมาลายันใบละ 3.5 ล้านบาท
“เรากล้าพูดว่าเป็นร้านแรกที่นำคอนเซ็ปต์สปารองเท้าและกระเป๋ามาใช้ในเมืองไทย เพราะโมโมโกะมีบริการครบวงจร" มินกล่าวพร้อมอธิบายว่า บริการครบวงจรคือ เราเริ่มตั้งแต่ทำความสะอาด ซึ่งลูกค้าเลือกได้ว่าจะทำเฉพาะจุดหรือทำทั้งใบ ซึ่งร้านจะคิดราคาต่างกันเพื่อความแฟร์ เริ่มตั้งแต่ 500 บาทไปจนถึง 2,500 บาท ใช้เวลาทำประมาณ 3 วัน แต่หน้าร้านจะนัดลูกค้าไว้ 10 วันทุกกรณี เพราะต้องมีการตรวจเช็กความเรียบร้อยและจัดทำจัดส่งให้ตามคิว และทางร้านยังพัฒนาระบบบาร์โค้ด เพื่อห้อยกระเป๋าป้องกันการสลับกัน เพราะหลายครั้งมีกระเป๋ายี่ห้อเดียวกันและสีเดียวกันเข้ามา ในจุดนี้ก็ทำให้ลูกค้าเชื่อถือไว้วางใจส่งกระเป๋าราคาแพงเป็นล้านมาให้ทางร้านดูแล รวมทั้งมีการผลิตกระดาษห่อกระเป๋าอย่างดีก่อนเก็บใส่ถุงซิปรอเจ้าของมารับ
มินบอกว่ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะความเก่ง แต่เธอทุ่มเทและมีใจรักในงานที่ทำ มีความสุขทุกครั้งที่ลูกค้าชื่นชม ซึ่งเป้าหมายหลังจากขยายร้านรองรับลูกค้าในกรุงเทพฯ ได้ถึง 8 แห่งและในต่างจังหวัดอีก 5 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี หาดใหญ่ พัทยา ภูเก็ต ถือว่าค่อนข้างครอบคลุมลูกค้าเป้าหมายแล้ว แถมยังมีบริการพิเศษให้ลูกค้าต่างจังหวัดส่งอีเอ็มเอสมาใช้บริการด้วย และเมื่อดูแลเสร็จทางร้านก็ส่งกลับไปให้ฟรี ทำให้ปัจจุบันลูกค้าต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นมากประมาณ 30% โดยธุรกิจสปากระเป๋าและรองเท้าโดยรวมเติบโตขึ้นทุกปีราว 10-15% เพราะคนไทยเริ่มรู้จักและเห็นความสำคัญในการดูแลมากขึ้น
"ภาวะเศรษฐกิจไม่ได้เป็นตัวแปรสำคัญกับธุรกิจนี้ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีคนลดใช้เงินก็จะเอาของเก่ามาทำสปาเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่สวยเหมือนใหม่ถือไปไหนไม่อายใครไม่ต้องซื้อใหม่หมื่นเป็นแสน หรือหากเศรษฐกิจดีคนมีรายได้เยอะขึ้นก็จะเริ่มซื้อของใหม่ๆ โดยเฉพาะกระเป๋ารุ่นใหม่ๆ บางคนถนอมมากจะส่งมาเคลือบน้ำยากันน้ำกันเปื้อน เรียกว่าทางร้านได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง"
ปัจจุบันยอมรับว่ามีคนสนใจทำธุรกิจนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เปิดร้านเองและซื้อแฟรนไชส์มาจากต่างประเทศ ซึ่งเธอมองว่าเป็นธรรมชาติของธุรกิจที่ต้องมีการแข่งขัน และน่าจะยิ่งทำให้คนที่เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดยิ่งโตขึ้นด้วย และมั่นใจว่าลูกค้าประจำที่มีประมาณ 70% จะไม่หนีไปไหนแน่นอน เพราะร้านโมโมโกะเน้นบริการและพัฒนาธุรกิจไม่หยุดนิ่ง ที่สำคัญความได้เปรียบคือเธอสามารถควบคุมทุกขั้นตอนของการทำงานได้เองทั้งหมด 100% จึงน่าจะทำให้ได้เปรียบในการแข่งขัน
"การทำธุรกิจเจ้าของต้องรู้จริงและลงมือทำเอง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันรู้และพัฒนาองค์กรได้ ทุกวันนี้มินยังลงมือทำเอง ใช้เวลาส่วนใหญ่ที่โรงงาน ส่วนหน้าร้านงานรับลูกค้าให้น้องสาวมาช่วย ในอนาคตวางเป้าหมายอยากให้ร้านโมโมโกะ ซึ่งเป็นแบรนด์ของคนไทยเป็นที่รู้จักและขยายสาขาไปต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ลาว พม่าก่อน ตอนนี้เริ่มมีคนรู้จักและมาจีบให้ไปเปิดสาขา แต่ต้องขอเวลาพัฒนาแบ็กออฟฟิศให้แข็งแกร่งก่อน คิดว่าน่าจะใช้เวลา 1-2 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าจะควบคุมคุณภาพมาตรฐานเดียวกันได้ก่อนจะขยับขยายออกไปนอกประเทศโดยไม่ทำให้ชื่อเสียงที่ร้านสะสมมา 7 ปีต้องเสียหาย"
“MyBagSpa”แฟรนไชส์สิงคโปร์
ร้าน “MyBagSpa” นับเป็นอีกแบรนด์ที่โดนใจเจ้าของกระเป๋า-รองเท้าหรู ในการช่วยดูแลรักษาความสะอาด ตลอดจนฟื้นฟูสภาพและสีเครื่องหนังของกระเป๋าให้กลับมาสวยปิ๊งได้เหมือนเดิม นักธุรกิจสาวสวย “รณันธร พลชาติ” หรือ โอ๋ บอกว่า MyBagSpa เข้ามาในเมืองไทยเมื่อ 3 ปีก่อน โดยซื้อแฟรนไชส์มาจากสิงคโปร์ ซึ่งทำธุรกิจนี้มานานและมีความเชี่ยวชาญมากว่า 40 ปี และมีสาขาอยู่ใน 5 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
จุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้มาจากความชื่นชอบส่วนตัว เพราะเป็นคนชอบสะสมกระเป๋าเครื่องหนังแบรนด์ต่างๆ อยู่แล้ว และถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ให้ดูแลรักษาของใช้ให้ดี จึงชอบศึกษาค้นคว้าวิธีการดูแลรักษากระเป๋าให้ดูใหม่อยู่เสมอ เช่น เมื่อกระเป๋าชำรุดและส่งเข้าช็อปของแบรนด์นั้นๆ ต้องใช้เวลาเป็นปี จนกระทั่งไปเจอ MyBagspa ที่ทำความสะอาดดูแลกระเป๋าแบบครบวงจร เลยตัดสินใจไปเข้าคอร์สเรียนเองนานถึง 1 ปี เพื่อให้รู้ถึงกระบวนการทำงานทุกขั้นตอนทั้งการทำความสะอาด การทำสีและซ่อมแซมกระเป๋า
ส่วนสาเหตุที่มองว่า น่าจะนำธุรกิจนี้เข้ามาในเมืองไทย เพราะช่วงนั้นยังมีผู้เล่นในตลาดน้อยราย มีแต่แบรนด์ของคนไทย หรือ โลคัลแบรนด์ ซึ่งน่าจะแข่งขันได้เพราะทางร้านจะมีจุดแข็งอยู่ที่นำมาตรฐานและระบบให้บริการที่ได้รับการยอมรับมาสร้างความแตกต่าง และจากประสบการณ์ที่ผ่านกระเป๋ามาเป็นแสนใบน่าจะเอามาแก้ไขปัญหาของกระเป๋าได้ทุกกรณี อย่างใบที่อาการหนักสุดประมาณ 80% ยังสามารถชุบชีวิตขึ้นมาได้
เธอเล่าว่า ในการเปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ต้องใช้เวลาเตรียมห้องแล็บระยะหนึ่ง และอบรมบุคลากรหรือช่างก็ใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือน รวมแล้วใช้เงินลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เจาะกลุ่มไฮเอนด์ที่ใช้กระเป๋าแบรนด์เนม ทำให้กลุ่มนี้รู้จักและลองมาใช้บริการทั้งเหล่าเซเลบ และดารา เพราะจะช่วยสร้างกระแสได้เร็ว เมื่อลูกค้าพึงพอใจก็จะบอกต่อกันไปแบบปากต่อปาก ชักชวนเพื่อนมาใช้บริการด้วย ทำให้มีกระเป๋าส่งเข้ามาทำความสะอาดมากขึ้นเรื่อยๆ และขยายไปสู่รองเท้า ตลอดจนของใช้อื่นๆ ทั้งหมวก แจ็กเก็ตหนัง เครื่องประดับ ปัจจุบันนี้มีของส่งเข้ามาใช้บริการตกเดือนละ 300-500 ชิ้น
สำหรับกระบวนการทำความสะอาดกระเป๋ารองเท้าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แต่การเปลี่ยนสีใหม่หรือซ่อมแซมอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น เพราะต้องส่งเข้าแล็บวิเคราะห์สีให้เหมือนตัวจริงมากที่สุด หรือต้องรออุปกรณ์ชิ้นส่วนของกระเป๋า อย่างหมุดหรือโลหะก็จะใช้ของจริงทั้งหมด ซึ่งยืนยันว่าราคาในการแปลงโฉมกระเป๋าให้ออกมาเหมือนใหม่ไม่ได้แพงมาก คิดในอัตราสมเหตุสมผล อย่างการทำความสะอาดกระเป๋าอยู่ที่ 1,500 บาทขึ้นไป แต่หากถึงขั้นทำสีใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นบาท
“เคยมีลูกค้าเอารองเท้าชาแนลสีอ่อนมาเปลี่ยนเป็นสีเข้มทำออกมาแล้วเหมือนซื้อคู่ใหม่ราคาประมาณ 8 หมื่นบาท แต่จ่ายเพียงแค่หมื่นบาทถือว่าคุ้ม เพราะสามารถใช้งานไปได้อีกอย่างน้อยปีหรือ 2 ปี ส่วนกลิ่นที่เป็นปัญหาใหญ่ของรองเท้า ร้านเราสามารถแก้ไขได้และยังมีบริการให้คำแนะนำวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้องให้ลูกค้าด้วย ทำให้ปัจจุบันนี้สามารถครองใจลูกค้าประจำได้ถึง 60-70% และเริ่มขยายวงกว้างจากกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน เจ้าของกิจการ ดารา เซเลบ ตอนนี้มีลูกค้าผู้ชายเข้ามาประมาณ 15%”
ทั้งนี้ กระเป๋าที่ส่งเข้ามาให้ร้านดูแลจะเป็นท็อปแบรนด์เป็นส่วนใหญ่ อย่างชาแนลจะเยอะมาก น่าจะเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากสุด ส่วนที่แพงสุดน่าจะเป็นแอร์เมสใบละประมาณ 6 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้บริการเคลือบกันน้ำ กันไวน์ หรือแอลกฮอล์เลอะ ซึ่งทางร้านจะดูแลกลุ่มลูกค้าวีไอพีที่เป็นเมมเบอร์ประมาณร้อยกว่ารายเป็นพิเศษ โดยมีบริการรับส่งกระเป๋าถึงที่ และภายในปีนี้มีแนวคิดที่จะขยายบริการรับส่งกระเป๋าแบบเดลิเวอรี่ถึงบ้านให้ลูกค้าทั่วไปในกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วย และจากการเติบโตของธุรกิจในกรุงเทพฯ ที่ขณะนี้มีอยู่ 3 สาขา ในปีนี้เธอจึงตั้งเป้าหมายจะหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมทุนเปิดสาขาในหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ นำร่องก่อนประมาณ 5 แห่ง ก่อนค่อยๆ ขยายเพิ่มเติมเพื่อรองรับลูกค้าในต่างจังหวัด
เธอมองว่า การทำธุรกิจต้องไม่หยุดนิ่งต้องมีการพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ ล่าสุดจึงมีไอเดียจะขายตู้โชว์ หรือ "คาบิเน็ต" สำหรับเก็บกระเป๋าหรูโดยเฉพาะ ซึ่งสร้างความฮือฮาและได้รับความสนใจไม่น้อย เพราะหลังจากคลุกคลีกับธุรกิจมา 3 ปี ทำให้มองเห็นถึงปัญหาในเก็บรักษากระเป๋า ทั้งของที่ร้านเองและเชื่อว่าตามบ้านลูกค้าก็น่าจะมีปัญหา เพราะบางคนเก็บใส่ถุงไว้นานเปิดออกมาอีกทีหนังร่อนหลุดแตกใช้การไม่ได้แล้ว เนื่องจากเมืองไทยอากาศร้อนและความชื้นสูง จะเป็นตัวทำลายกระเป๋า
ดังนั้น จึงไปปรึกษากับบริษัทโปรมาร์เก็ตติ้ง โฮม แอนด์ เด็ดคอร์ จำกัด เพื่อร่วมกันผลิตตู้โชว์รุ่นพิเศษที่สามารถเก็บรักษาและยืดอายุการใช้งานกระเป๋าแบรนด์เนมขึ้นเป็นครั้งแรกของไทยและของโลก ซึ่งตู้ MybagCabinet จะที่มีเครื่องวัดความชื้นภายในและมีระบบล็อกอย่างดี สามารถเก็บกระเป๋าตั้งโชว์ในบ้านได้แบบหมดกังวลและยังหยิบใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญตู้ออกแบบมาแนวคลาสสิกมี 3 รุ่นเน้นความหรูหราสวยงาม หากเทียบกับราคาที่ตกอยู่ที่ใบละ 7 หมื่นกว่าบาท ถือว่ายังถูกกว่าราคากระเป๋าแบรนด์เนมใบเดียวด้วยซ้ำ
“การแตกไลน์ไปขายตู้โชว์เก็บกระเป๋าน่าจะเข้ามาช่วยเสริมธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 300 ใบหรือ 20 ล้านบาท โดยวางขายที่โชว์รูม ย่านรัชดาฯ และร้านสปากระเป๋า 3 สาขา รวมทั้งจะอาศัยเครือข่ายอีก 5 ประเทศให้ช่วยกระจายสินค้าด้วย หากกระแสตอบรับดีปลายปีนี้ก็จะผลิตตู้สำหรับเก็บรองเท้า หมวก เครื่องประดับตามออกมาทำตลาดเพิ่มอีกด้วย”
นอกจากการดูแลรักษาแปลงโฉมกระเป๋าแล้ว ที่สำคัญร้านนี้ยังให้บริการลูกค้าวีไอพีแบบสุดๆ ด้วยการรับฝากขายสินค้ามือสองที่ผ่านการทำความสะอาดแล้วโดยรับประกัน 1 ปี ฟรีทำความสะอาด 1 ครั้ง ซึ่งบริการที่ครบครันนี้ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าทั้งคนดัง คนทั่วไปแม้แต่ชาวต่างชาติก็แวะเวียนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย