'JETRO'พบ'ประยุทธ์'หารือส่งเสริมลงทุน
03 ก.ค. 2558
ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น เข้าพบ 'ประยุทธ์' หารือส่งเสริมการลงทุน
3 ก.ค. 58 เมื่อเวลา 10.15 น. นายฮิโระยูกิ อิชิเกะ (Mr.Hiroyuki Ishige) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization: JETRO) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ โรงแรมที่พัก (Imperial Hotel) ภายหลังการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การหารือระหว่างพลเอกประยุทธ์ และประธาน JETRO ในวันนี้ ซึ่งเป็นการพบกันครั้งที่ 2 ได้สะท้อนภาพความคืบหน้าความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนไทย-ญี่ปุ่น เป็นอย่างดี ในการหารือในวันนี้ ประธาน JETRO ได้แสดงความขอบคุณ และชื่นชมนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ตลอดจนมีการปรับปรุงมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว และตรงกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ และญี่ปุ่น ซึ่งยิ่งสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ ยังได้มีการหารือถึงความคืบหน้าในการดำเนินการของฝ่ายไทย-ญี่ปุ่น ตามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในญี่ปุ่นระหว่าง JETRO และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน และตามที่เคยได้หารือกันไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในหลายสาขา ดังนี้ ความร่วมมือในอุตสาหกรรมอาหาร และการแปรรูปสินค้าเกษตร ทางญี่ปุ่นได้มีการจัดให้มีการหารือระหว่างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร และร้านอาหารระหว่างไทยและญี่ปุ่น โดยผู้ประกอบการร้านอาหารของญี่ปุ่นได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยในเดือนที่ผ่านมาเพื่อแสวงหาลู่ทาง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของไทยมากขึ้นความร่วมมือด้านความเชื่อมโยง JETRO ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดการสัมมนาเรื่องความเชื่อมโยงในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน มีการหารือระหว่าง BOI และ JETRO อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการจัดสัมมนาในหัวข้อ Thailand plus 1 ซึ่งเชื่อว่า จะส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้นด้านการวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ปัจจุบันมีการหารือระหว่างฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายไทยโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนญี่ปุ่น บริษัท โตโยต้า และ อีซูซุ ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในประเทศไทยแล้ว และขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนได้มาใช้ประโยชน์จากศูนย์ดังกล่าวด้วย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายไทยและญี่ปุ่น ซึ่งได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง จนทำให้ความร่วมมือในด้านต่างๆ มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและขอให้ดำเนินการเช่นนี้อย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมในหลายสาขามากขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการไทย พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะมีบทบาทในการอำนวยความสะดวก เพื่อให้ภาคธุรกิจเอกชนสามารถดำเนินการค้าและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเชิญชวนให้นักธุรกิจญี่ปุ่นมาเยือนประเทศไทยเพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการเศรษฐกิจพิเศษและโครงการทวาย ตามที่ภาคเอกชนญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจ และหากมีข้อติดขัด ขอให้ประสานกับรัฐบาลไทยได้โดยตรง เพื่อจะได้ปรับปรุงให้เหมาะสม โดยจะเร่งรัดความร่วมมือโครงการเศรษฐกิจพิเศษทวาย เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว ซึ่งการดำเนินการของไทยจะสอดคล้องกับ “แผนยุทธศาสตร์โตเกียว 2015” ฉบับใหม่ ที่จะช่วยให้ภูมิภาคให้เป็นฐานการผลิตที่ยั่งยืนของญี่ปุ่น
'บิ๊กตู่' ให้ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในลุ่มน้ำโขงแก่ภาคธุรกิจญี่ปุ่น
เมื่อเวลา 13.30 น. ณ โรงแรม New Otani กรุงโตเกียว พลเอกประยุทธ์ และผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง เข้าร่วมการสัมมนา Mekong-Five Economic Forum ที่จัดโดย JETRO ณ ห้อง Ho-Ou โรงแรม New Otani Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างการสัมมนา พลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวสุนทรพจน์แก่ภาคเอกชนญี่ปุ่น สรุปดังนี้
ในนามของรัฐบาลไทย มีความยินดีที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมวาระเรื่องเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 5 ประเทศ (Mekong-Five Economic Forum) ที่จัดโดยองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ซึ่งเป็นการประชุมคู่ขนานกับการประชุมผู้นำ ลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 7 การพบกัน ในวันนี้ เพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนของแต่ละประเทศ และนำไปประกอบ การตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจญี่ปุ่น รวมทั้งผู้แทนของแต่ละประเทศจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองของบริษัทญี่ปุ่นต่อการทำธุรกิจในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงทั้ง 5 ประเทศ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ปีนี้เป็นสำคัญของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งหมายถึง การรวมตัวกันทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และความมั่นคง ซึ่งวันนี้ จะกล่าวถึงเฉพาะความสำคัญของการรวมตัวทางเศรษฐกิจที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของประเทศสมาชิกที่ยังมีความแตกต่างของระดับการพัฒนา คำถามคือ ทำอย่างไรที่จะทำให้กลุ่มประชาคมอาเซียน มีความเข้มแข็ง สามารถก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน
การลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศกลุ่มอาเซียนนับวันจะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ หากจะพูดถึงเฉพาะในประเทศไทยแล้ว ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ มูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมดในประเทศไทย และวันนี้จำนวนและมูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI จากบริษัทญี่ปุ่นยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นผลจากการดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนในระยะแรกที่เน้นการลงทุนสร้างอุตสาหกรรมในประเทศไทย ตั้งแต่เราเริ่มวางแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก
ในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลญี่ปุ่นและบริษัทเอกชนญี่ปุ่นที่ได้ให้ความไว้วางใจประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งได้ก่อให้เกิด การสร้างงาน สร้างรายได้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมของไทย จนทำให้ปัจจุบันไทยได้กลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลกในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ได้เห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนประเทศไทย มาโดยตลอดทั้งในช่วงที่ประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตภัยพิบัติ ที่สำคัญคือ การริเริ่มโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 5 ประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์และการมองการณ์ไกล เพราะวันนี้ในโลกแห่งการแข่งขันทางด้านต้นทุนการผลิต ที่มีสาเหตุจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ค่าแรงงาน ต้นทุนการเงิน ต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ ทำให้เราต้องมองหาแหล่งผลิตที่มีความได้เปรียบทั้งทางด้านวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิต และตลาด ตลอดจนการเชื่อมโยงห่วงโซ่ของการผลิตเข้าด้วยกันเพื่อประหยัดต้นทุน
ด้วยความที่ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ ประชากรประมาณ 300 ล้านคน มีอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่รวดเร็วและต่อเนื่อง ปัจจุบันมี GDP ประมาณ 664 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่ขนาดเล็กแล้ว และหากนับรวมอาเซียนทั้งกลุ่มแล้ว ตลาดผู้บริโภคก็มีขนาดใหญ่ถึง 600 ล้านคน และที่สำคัญคือระดับรายได้ต่อหัวก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ประเทศในกลุ่มนี้พร้อมก้าวพ้นจากความยากจนไปสู่รายได้ปานกลาง และประเทศที่มีรายได้ปานกลางก็พร้อมก้าวสู่ประเทศรายได้สูง
นโยบายรัฐบาล มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมาในอดีตอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนความโปร่งใสของภาครัฐที่เป็นปัญหาหนักอกของนักธุรกิจทั้งหลาย ในเวลาเดียวกัน นโยบายรัฐบาลก็ให้ความสำคัญของการวางพื้นฐานที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง อะไรก็ตามที่เป็นข้อตกลงร่วมกัน รัฐบาลจะดำเนินการให้มีผลเป็นเป็นรูปธรรม ซึ่งมี 5 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 ประเทศไทยยืนยันที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมโยง (Connectivity) ทั้งภายในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลได้อนุมัติแผนพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานในช่วง 8 ปีข้างหน้า (2558-2564) ประกอบด้วย 5 แผนงานคือ 1.การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง 2.การพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 10 เส้นทาง 3.การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 4.การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ และ 5.การเพิ่มขีดความสามารถของบริการขนส่งทางอากาศ
ในแผนงานดังกล่าว มีอยู่หลายโครงการที่รัฐบาลไทยได้มีความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น คือ โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ระยะทาง 672 กม. (เป็นเส้นทางตามระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้) โครงการปรับปรุงระบบรถไฟทางคู่ เส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-สระแก้ว-แหลมฉบัง (เป็นเส้นทางตามระเบียงเศรษฐกิจ ด้านใต้ เพื่อเชื่อมกับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย) โครงการปรับปรุงระบบขนส่งสินค้าทางรางในภาคตะวันออก และโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของระบบรถไฟเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก (แม่สอด-มุกดาหาร) รวมทั้งโครงการระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ สายสีม่วง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ระบบตัวรถจะใช้เทคโนโลยีของญี่ปุ่น คาดว่าจะส่งมอบได้ในเดือนตุลาคม ปีนี้
เรื่องที่ 2 โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบโครงการใน 4 รูปแบบคือ 1.เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรก 5 จังหวัด เริ่มปี 2558 และระยะที่สองอีก 5 จังหวัด เริ่มปี 2559 โดยมุ่งเน้นความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และในกลุ่มอาเซียนที่จะเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตภายใต้ยุทธศาสตร์ประเทศไทยบวกหนึ่ง (หรือ Thailand Plus One) 2.เขตเศรษฐกิจพิเศษตอนใน เป็นการพัฒนาพื้นที่ใหม่เพื่อรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในลักษณะ คลัสเตอร์
3.เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการวิจัยพัฒนา และนวัตกรรม และ 4.เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการท่องเที่ยว (อาจจะเรียกว่าเป็น Tourism Free Zone) ซึ่งรัฐบาลโดย BOI จะให้สิทธิประโยชน์ สูงสุด ทั้งนี้รูปแบบที่ 2 – 4 อยู่ในระหว่างการจัดทำรายละเอียด
เรื่องที่ 3 นโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานใหญ่และสำนักงานภูมิภาค (International Headquarter – IHQ) และศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center – ITC) โดยให้สิทธิประโยชน์ แก่ธุรกิจข้ามชาติที่จัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในประเทศไทยและปรับปรุงประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนของการประกอบธุรกิจ ซึ่งมุ่งเป้าให้ลดเวลา เพิ่มความคล่องตัว และลดต้นทุนการประกอบการของนักธุรกิจ (Ease of Doing Business) ขณะนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายทบทวนกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
เรื่องที่ 4 ไทยจะร่วมมือกับเมียนมาในการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจ พิเศษทวาย รัฐบาลไทยเห็นว่า โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายถือเป็นโครงการสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นระหว่างประเทศไทยและ เมียนมาในอันที่จะร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตในลักษณะส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในการนี้ ไทยขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี – ชินโซะ อาเบะ และรัฐบาลญี่ปุ่น ที่จะร่วมมือและให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันเพื่อร่วมพัฒนาโครงการนี้ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ในเวลาอันรวดเร็ว โดยในวันพรุ่งนี้ มีความยินดีที่ทั้ง 3 ประเทศ จะได้มีการลงนาม ร่วมกันในบันทึกความเข้าใจในการแสดงเจตนารมณ์ (Memorandum of Intent: MOI) ในการร่วมกันพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้มีความก้าวหน้า เป็นรูปธรรม และประสบผลสำเร็จต่อไป
เรื่องที่ 5 ไทยจะเดินหน้าในการแก้ไขกฎระเบียบร่วมกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้สามารถลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนให้ทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับการเจรจาในเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมเจรจาเรื่องการเพิ่มจำนวนรถผ่านแดนไปยังประเทศที่สองและสามในกลุ่ม และเปิดให้มีการเดินรถโดยสารระหว่างประเทศภายในกลุ่ม ขณะนี้ทางกัมพูชาได้ตอบตกลงที่จะเพิ่มจำนวนรถข้ามแดนจาก 40 คัน เป็น 500 คัน และเปิดเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้น รวมทั้งเปิดเดินรถระหว่างไทย - ลาว - เวียดนามในทันทีที่ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ตลอดจนเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม และในอนาคตอันใกล้ไทยก็จะผลักดันให้เพิ่มเส้นทางหมายเลข 8 และ 12 ให้สามารถย่นระยะเวลาเดินทางข้ามประเทศไทย-ลาว-เวียดนาม
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ว่า มีความสงบและมั่นคง การดำเนินชีวิตของประชาชนและการทำธุรกิจการลงทุนกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลกำลังดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นที่สองที่เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอนุมัติโครงการลงทุนที่มีประโยชน์ให้เริ่มดำเนินการได้ และเตรียมการจะเข้าสู่ขั้นที่สาม คือขณะนี้มีร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีการทำประชาพิจารณ์ (Referendum) ในช่วงต้นปีหน้า จากนั้นถึงจะมีการเลือกตั้ง และส่งต่อวาระการปฏิรูปประเทศที่รัฐบาลจะได้เตรียมไว้ให้รัฐบาลในอนาคตมาทำต่อไป
ขอบคุณรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีส่วนสำคัญในการให้ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตลอด 60 ปีที่ผ่านมา และที่สำคัญที่สุดคือภาคธุรกิจญี่ปุ่น ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นว่า จะให้ความไว้วางใจประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตของญี่ปุ่นต่อไป และขอแสดงความยินดีกับรัฐบาลญี่ปุ่นในโอกาสที่จะเข้าร่วมโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีการลงนามในบันทึกแสดงเจตจำนงร่วมกับเมียนมาและไทย และนายกรัฐมนตรีเชื่อว่าความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาระหว่างไทย-ญี่ปุ่น และระหว่างไทย-ญี่ปุ่น - เมียนมา จะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงานและอาชีพ และสร้างความสุขให้กับประชาชนทั้งสองประเทศให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนด้วยกันต่อไป
หารือกลุ่มสมาชิกมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น - แม่โขง
เมื่อเวลา 11.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น พลเอกประยุทธ์ พร้อมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง พบหารือระหว่างอาหารกลางวันกับกลุ่มสมาชิกมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น - แม่โขง ณ ห้องจัดเลี้ยง Orizuru Yu ชั้น B 1 โรงแรม New Otani ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญการสนทนา โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่มีโอกาสได้พบกลุ่มสมาชิกมิตรภาพรัฐสภาแม่โขง-ญี่ปุ่น ในวันนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีทราบว่า กลุ่มสมาชิกมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น - แม่โขง ก็เป็นสมาชิกกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาไทย - ญี่ปุ่น ของพรรค LDP ญี่ปุ่นด้วย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสพบหารือกับกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาไทย - ญี่ปุ่น ได้หารือกับนายชิโอะซะคิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประธานกลุ่มไทย - ญี่ปุ่น และสมาชิกบางท่านด้วย นายกรัฐมนตีได้กล่าวเน้นย้ำว่า ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนานและความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิดกันทุกระดับ ซึ่งในอีก 2 ปี ความสัมพันธ์การทูตไทยกับญี่ปุ่นก็จะครบ 130 ปี และความสัมพันธ์ไทยกับญี่ปุ่นในปัจจุบันมีการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน โครงการความร่วมมือต่าง ๆ อาทิ ความร่วมมือระบบราง ก็มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก
นายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ญี่ปุ่นได้มีการจัดตั้งกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาแม่โขง - ญี่ปุ่น โดยนายกรัฐมนตรีทราบมาว่า กลุ่มมิตรภาพนี้เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาไม่นาน แต่สมาชิกหลายท่านล้วนแต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเมืองญี่ปุ่น เป็นการแสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายของไทยที่ต้องการส่งเสริมการพัฒนาของลุ่มน้ำโขง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ จะมีการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 7 ซึ่งญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาลุ่มน้ำโขง การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมบทบาทของญี่ปุ่นในภูมิภาค นายกรัฐมนตรียินดีที่ญี่ปุ่นแสดงความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคและเอเชีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนญี่ปุ่นเองด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอยากให้ญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในภูมิภาคมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกประเทศมีปัญหาที่ความแตกต่างกัน ในส่วนไทย เรากำลังแก้ปัญหาและปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นในทุกด้าน เราจะร่วมมือเพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนของภูมิภาคและญี่ปุ่น
ขณะนี้ สิ่งที่ไทยต้องการจากทั้งญี่ปุ่นและทุกประเทศ คือ ความเข้าใจและความช่วยเหลือในการปฏิรูปประเทศ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมญี่ปุ่นว่า เป็นประเทศต้นแบบที่ดีในด้านประชาธิปไตย ดังนั้น ขอเชิญกลุ่มสมาชิกมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น - แม่โขงมาเยือนไทยเพื่อมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ไทยได้เรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีของรัฐสภาญี่ปุ่นด้วย
เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น
เมื่อเวลา 15.00 น. พลเอกประยุทธ์ และผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิอะคิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ณ พระราชวังอิมพีเรียล
ภายหลังการเข้าเฝ้าฯ พลตรีวีรชน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวอัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ใจความว่า ขอถวายพระพรให้ทั้งสองพระองค์มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง นายกรัฐมนตรีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เดือนมีนาคม ได้พระราชทานพระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ ณ เมืองเซนได
ที่ผ่านมา มีการเสด็จเยือนระหว่างพระราชวงศ์ทั้งสองประเทศหลายครั้ง เมื่อเดือนเมษายนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น อันแสดงให้เห็นถึงพระราชไมตรีอันใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ทั้งสองประเทศ
นายกรัฐมนตรีในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ได้กล่าวถวายพระพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงและทรงพระเกษมสำราญ