ข่าว

นำ'สื่อเป่าลม'รุกตลาดเออีซี เป้าต่อไปของเมธาวี ตีระพัฒน์สกล

นำ'สื่อเป่าลม'รุกตลาดเออีซี เป้าต่อไปของเมธาวี ตีระพัฒน์สกล

29 ก.ค. 2558

นำ'สื่อเป่าลม'รุกตลาดเออีซี เป้าต่อไปของเมธาวี ตีระพัฒน์สกล : คมคิดธุรกิจนิวเจน เรื่อง....กอบแก้ว แผนสท้านภาพ....สมศักดิ์ เนตรทอง

             ค่านิยมเรื่องการประกอบสัมมาอาชีพที่ฝังลึกลงในใจคนไทยมาตลอดหลายสิบปี ดูเหมือนจะไม่พ้น อาชีพหมอ วิศวะ รับราชการทหาร ตำรวจ ครู หรือพนักงานในบริษัทชื่อดังระดับแถวหน้า ถึงวันนี้แนวความคิดดังกล่าวจะยังไม่เสื่อมคลาย ทว่าต้องยอมรับว่าปัจจุบันเทรนด์การประกอบอาชีพอิสระแทนการดำเนินชีวิตติดกรอบกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ไฟแรงอยู่ไม่น้อย และ “เม” เมธาวี ตีระพัฒน์สกล ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ตัดสินใจดีดตัวเองออกมาจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายได้ประจำ มีความมั่นคงในชีวิต (อย่างที่หลายๆ คนคิด) หันมาจับธุรกิจ “สื่อโฆษณาเป่าลม”

             เพราะตั้งเป้าหมายของชีวิตเอาไว้ว่า สักวันจะต้องเป็นเจ้าของ “ธุรกิจส่วนตัว” ให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่อยากเสียเวลาตามหาฝันอีกต่อไป ประกอบกับพอจะมีต้นทุนจากการเป็นพนักงานการตลาด จึงเห็นช่องทางในเส้นทางสายนี้

             "เมื่อก่อนถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2548 ขณะนั้นผมยังเป็นพนักงานประจำในบริษัทเอกชน โดยส่วนตัวเป็นคนชอบใช้เวลางว่างไปอบรมเข้าคอร์สเรียนกิจกรรมพิเศษต่างๆ ซึ่งตอนนั้นผมเลือกเรียนลูกโป่งประดิษฐ์ วัตถุประสงค์แรกเพียงแค่อยากผ่อนคลาย แต่เพราะผมเรียนจบด้านไอที ทำงานด้านไอทีซัพพอร์ตในสายงานการตลาด ด้วยลักษณะงานที่ต้องช่วยจัดกิจกรรมทางการตลาดบ่อยครั้ง จึงมีโอกาสได้นำความรู้พิเศษมาช่วยงานบ้าง จากนั้นประมาณ 3 เดือนมีลูกค้ารายหนึ่งเดินเข้ามาหาผมแล้วถามว่า สามารถหาซุ้มโค้งพองลม (แบบในงานเปิดตัวรถยนต์) ได้บ้างไหม ประจวบกับอาจารย์ที่สอนทำลูกโป่งประดิษฐ์ ท่านเองก็เพิ่งจะคิดค้นการทำซุ้มโค้งพองลมได้สำเร็จเป็นคนแรกในประเทศไทย จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ขยับเข้าสู่ธุรกิจสื่อโฆษณาเป่าลม"

             เมธาวีจดทะเบียนบริษัทในนาม หจก.ทูบีไลท์ รับงานตามอีเวนท์โดยมีกลุ่มลูกค้าอย่างโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์เป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งตอนนั้นยังดำเนินงานในรูปแบบงานเสริมควบคู่กับการทำงานประจำ โดยให้อาจารย์เป็นฝ่ายผลิต ส่วนเขาเองเป็นฝ่ายดูแลการตลาด ได้ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากแดนปลาดิบเรียกใช้บริการ ถือเป็นใบเบิกทางให้ เมธาวี ตีระพัฒน์สกล ตัดสินใจอำลาชีวิตมนุษย์เงินเดือนพุ่งเป้าเข้าสู่ถนนสายธุรกิจอย่างเต็มตัว ทว่าชีวิตจริงในธุรกิจสื่อโฆษณาเป่าลมของเขา กลับไม่ได้ลื่นไหลเหมือนอย่างเช่นสินค้าที่เจ้าตัวผลิตจำหน่ายแม้แต่น้อย

             "ในช่วงเริ่มต้นลุยตลาดผมเดินเข้าไปเสนอโตโยต้าเป็นรายแรกและเมื่อลูกค้าเลือกใช้บริการของผม ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดในตลาดสื่อโฆษณาเป่าลมก็ว่าได้ เพราะหลังจากนั้นลูกค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มออร์แกไนเซอร์ ต่างพากันเข้ามาหาผมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการต่อยอดไอเดียจากซุ้มโค้งไปสู่รูปทรงต่างๆ มากขึ้น ซึ่งตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของความยากนานัปการ"

             แรกเริ่มนั้น เมธาวีไม่มีความรู้ทางด้านแพทเทิร์นการตัดเย็บ ขณะเดียวกันช่างในสายงานนี้มีน้อยมาก ประกอบกับอาจารย์ที่สอนทำลูกโป่งประดิษฐ์ก็ไม่สามารถทำในจุดนี้ได้แล้ว เขาจึงพยายามที่จะเข้าไปเรียนวิธีทำแพทเทิร์นเสื้อผ้าซึ่งมันเป็นสองมิติ แต่สิ่งที่กำลังจะทำมันต้องเป็นสามมิติ ก็ต้องคิดหาความรู้วิธีการคำนวณเผื่อเอาไว้ด้วย ประกอบกับช่วงเริ่มต้นยังไม่มีทีมงาน ช่างเย็บผ้าไม่มีเป็นของตัวเอง ต้องจ้างช่างเย็บผ้าซ่อมเสื้อซ่อมกางเกงทั่วๆ ไป เอาแพทเทิร์นไปคุยให้ทดลองทำ เมธาวีต้องลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ๆ เพราะสินค้าพวกนี้มีข้อจำกัดต่างจากงานสามมิติทั่วไป อย่างงานปูนปั้นถ้าทำเกินก็เฉือนออกทำขาดก็โปะเพิ่มแต่ว่าถ้าเป็นพวกนี้ จะเห็นว่ามันเล็กหรือใหญ่ไป ก็ต่อเมื่อมันประกอบเสร็จแล้ว แล้วเป่าลมขึ้นมา ถ้าไม่ถูกแก้ใหม่ก็คือ ทำใหม่หมด นี่คือความยากในการเริ่มต้น

             ต่อจากนั้น เมธาวี เล่าว่า ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญมากไม่แพ้กันนั่นคือเรื่องทุน เพราะเริ่มด้วยทุนเล็กๆ แต่เมื่อลูกค้าเป็นองค์กรใหญ่จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งกว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ถือว่าสาหัสพอสมควร  นี่คือบททดสอบที่กรรมการผู้จัดการบริษัท ทูบีไลท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “บอลลูนเอเอ”  ผ่านมาได้ ซึ่งยังไม่นับปัญหาอีกจากสารพัดกลโกง

             หลายๆ ธุรกิจมีอันต้องล้มพับหรือจำต้องลดขนาดลงเพราะพิษจากเศรษฐกิจหดตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องอิงกับงบประมาณของการประชาสัมพันธ์ ทว่าในมุมของนักธุรกิจหนุ่มรายนี้ กลับเลือกที่จะเปลี่ยนปัญหาเศรษฐกิจให้กลายเป็นโอกาส

             “ผมได้เรียนรู้อย่างหนึ่งจากปัญหาเศรษฐกิจว่า ยิ่งสภาพเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทยิ่งต้องทำการตลาด และภาคส่วนหนึ่งของการทำตลาดคือการประชาสัมพันธ์ หากแต่กลยุทธ์ในการทำประชาสัมพันธ์นั้นเปลี่ยนไป เช่น ถ้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ เดิมงบประมาณจะไปลงที่การซื้อสื่อโฆษณาผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ บิลบอร์ด ฯลฯ ก็จะเปลี่ยนแนวมาเป็นการทำกิจกรรมหรืออีเวนท์ต่างๆ อาทิ การสาธิต การแจกชิม การออกบูธแสดงสินค้า การโรดโชว์ การจัดเวิร์กช็อป ฯลฯ แทน นั่นหมายความว่า มันจะมาเข้าสินค้าเราโดยตรง อันนี้พูดถึงลูกค้าที่เป็นคอร์ปอเรท กลับลงมาหาเรามากขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนธุรกิจเล็กๆ หรือเอสเอ็มอี ที่จำเป็นต้องใช้สื่ออะไรที่มันราคาประหยัดและได้ผล อันนี้ผมพูดถึงป้ายแห้งๆ ป้ายบิลบอร์ด หรือป้ายไฟ มันมีขายอยู่แล้วเยอะแยะมากมาย ซึ่งราคาเท่ากัน แต่สื่อโฆษณาเป่าลมสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้มากกว่า ซึ่งตัวชี้วัดอย่างหนึ่ง คือเห็นได้จากทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟที่มาเปิดในบ้านเรา นิยมใช้สื่อโฆษณาเป่าลมกันมากขึ้น อย่างน้อยๆ ก็เวลาที่ลูกค้าขับรถผ่านแล้วเห็นแวบๆ ว่ามีอะไรโบกสะบัดอยู่ข้างทางก็ต้องมีแวบกลับไปมองตามสัญชาตญาณบ้าง อย่างนี้เรียกว่าได้ผล ถ้าผมเป็นเจ้าของร้านกาแฟผมแฮปปี้นะ ในขณะที่ร้านอื่นที่ไม่ได้ใช้ตัวนี้ขึ้นป้าย บางทีขับผ่านมาสามปียังไม่รู้เลยว่าร้านอยู่ตรงนี้” เมธาวี ให้มุมมอง

             เพราะมีเป้าหมายในชีวิตว่า อาชีพสุดท้ายที่อยากจะทำก่อนตายคือการเป็น “เจ้าของกิจการ” ด้วยเหตุนี้หากต้องเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรค “เม” เมธาวี บอกว่าเขามีเป้าหมายเป็นแรงผลักให้ก้าวผ่าน

             "ตอนลาออกจากบริษัทเจ้านายถามผมว่า แน่ใจเหรอ! ออกไปแล้วไม่ดีจะทำยังไง ผมยังจำประโยคที่ตอบเจ้านายได้ว่า อาชีพสุดท้ายที่ผมอยากทำก่อนตาย คือการเป็นเจ้าของกิจการ เพราะฉะนั้นไม่ได้ทำตอนนี้ไม่ได้ออกวันนี้ ยังไงวันหนึ่งก็ต้องออก เพราะนั่นคือเป้าหมายหลัก และเราก็จับเป้าหมายมั่นแน่ๆ ยังไงต้องไป ก็เลยต้องออก"

             เมธาวีมองเห็นเป้าหมายในชีวิตว่านั่นคือสิ่งที่ต้องไปต้องเจอ จะล้มกี่ครั้งก็ไม่ถอย จึงบอกกับตัวเองว่า ชีวิตคนเรามีอยู่แค่สองอย่าง แพ้หรือผ่าน ถ้าอยากจะผ่านก็ต้องสู้  หากวันนี้ล้มจะลุกขึ้นใหม่ไม่มีเงิน ก็เริ่มทำใหม่เดี๋ยวก็ได้เงินเดี๋ยวก็ผ่านไป

             และจากหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านนี้ สอนให้เมธาวีได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน

             “ตอนนั้นผมมีลูกน้อง 4-5 คน  พวกเขาเห็นผมล้มลุกคลุกคลาน แต่ยังพร้อมจะสู้ไปกับผมไม่มีใครทอดทิ้ง ทำให้เราเห็นคุณค่าตรงนี้มากๆ เพราะตราบใดที่พวกเขายังอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม ผมเชื่อว่าเรากลับมาได้เสมอ บอกลูกน้องเสมอ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นลูกน้องกับนายจ้าง แต่เราคือ เพื่อนร่วมงานกัน คุณทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุด ผมทำหน้าที่ผมให้ดีที่สุด แล้วเราจะโตไปด้วยกัน” เจ้าของธุรกิจวัย 36 ปี กล่าว

             ยืนหยัดในตลาด “สื่อโฆษณาเป่าลม” นานนับทศวรรษ เมธาวี เผยว่า แม้จะยังไม่สามารถยืนอยู่บนแท่นในฐานะเบอร์หนึ่งของตลาดได้ แต่รู้สึกพอใจกับผลตอบรับดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ ส่วนเป้าหมายในอนาคตอันใกล้นี้จะเริ่มเจาะตลาดเออีซีก่อนจะขยายสู่ยุโรปต่อไปในอนาคต

             "สำหรับตลาดในประเทศล่าสุดได้นำเข้าเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า ดิจิทัลสกรีนเข้ามาใช้ และเท่าที่ทราบยังไม่มีบริษัทไหนเคยใช้เทคโนโลยีนี้เลย ด้วยคุณสมบัติพิเศษทำให้แตกต่างจากเทคโนลียีที่ผ่านมา คือความคมชัด นอกจากนี้ยังมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า เชื่อว่านวัตกรรมนี้จะเป็นอีกก้าวที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานของสื่อโฆษณาเป่าลมไทยสู่มาตรฐานสากล ซึ่งนั่นก็คือ เฟสสองที่บริษัทตั้งเป้าว่าจะเริ่มขยายตลาดไปสู่เออีซีภายสิ้นปีนี้ เพราะที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการสินค้าชนิดนี้อยู่แล้ว

             ส่วนรูปแบบในการดำเนินธุรกิจ เมธาวี บอกว่า จะใช้วิธีการยกระดับลูกค้าที่มีในปัจจุบันให้เป็นผู้แทนจำหน่าย ให้ดูแลตลาดในพื้นที่นั้นๆ สำหรับระยะยาว ตั้งใจว่าจะมุ่งไปที่ตลาดยุโรปแต่ต้องใช้เวลาศึกษาอีกสักระยะหนึ่ง จากที่เคยคุยกับลูกค้าจากฝั่งยุโรปที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยแล้วขอซื้อกลับบ้าน เพราะในประเทศเขาไม่มีขาย ทำให้เห็นช่องว่าทุกวันนี้สื่อโฆษณาเป่าลมยังกระจุกตัวอยู่ในแถบเอเชียเท่านั้น คือถ้ามองทั้งโลกมันยังมีตลาดให้เราขายได้อีกมาก

             สำหรับสินค้าและบริการมีทั้งแบบซื้อและเช่าในหลากหลายสไตล์ ประกอบด้วย ซุ้มพองลม (Archway) การตกแต่งสถานที่ด้วยลูกโป่ง (Balloon Decoration) บอลลูนโฆษณาลอยฟ้า (Helium Advertising Balloon) มาสคอตแอร์แดนเซอร์ (Mascot Air-Dancer) ท่อลมเต้นระบำ (Sky Tube) บอลลูนไลท์ติ้ง (Balloon Lighting) บอลลูนรูปผลิตภัณฑ์ (Mock-Up Balloon) และสื่อเป่าลมประเภทอื่นๆ อีกมากมาย โดยลูกค้าสามารถเสนอแบบได้ตามความต้องการ รวมถึงยังสามารถปรับเปลี่ยนไปตามโอกาส และความเหมาะสม เพื่อดึงดูดความสนใจ และบรรลุความสำเร็จสูงสุดในการจัดกิจกรรมทางการตลาด

             เมื่อถามถึงหลักในการทำงาน “เจ้าของธุรกิจบอลลูนเอเอ” บอกเพียงสั้นๆ ว่า คุณภาพและความรับผิดชอบต้องมาเป็นอันดับหนึ่งไม่ว่าจะดำเนินกิจการอะไรก็ตาม

             “ความรับผิดชอบ คือ เราเปิดมาอันดับแรกที่ผมยึดถือปฏิิบัติเลยคือหนึ่ง เราไม่ทิ้งลูกค้า ไม่ว่างานนั้นจะมีอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ อาจทำให้เราต้องแก้ปัญหา ต้องใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้น ที่สุดแล้วเราอาจจะต้องขาดทุน ผมไม่สนใจอย่างน้อยงานลูกค้าต้องผ่านไปได้ก่อน ผมยึดมั่นในเรื่องนี้ตลอดเวลา แล้วมันทำให้เราอยู่ได้เพราะว่าลูกค้าออร์แกไนเซอร์ งานอีเวนท์ มันพลาดไม่ได้ วินาทีนั้น เป็นวินาทีที่จะต้องเปิดตัว อุปกรณ์ต่างๆ จะต้องแม่นยำ พอเรามีนิสัยในการทำงานแบบนี้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกไว้วางใจเรา มั่นใจที่จะใช้บริการ ถ้าไปใช้เจ้าอื่นไม่ได้ยึดถือปฏิิบัติในเรื่องนี้ เขาจะมีความกังวลว่า จ่ายเงินไปแล้วไม่มั่นใจในคุณภาพงาน”
            
             .....สื่อโฆษณาเป่าลม จะลอยติดลมบนในตลาดอย่างที่เจ้าของธุรกิจหนุ่มคนนี้ตั้งเป้าหมายไว้ได้หรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป...