
12ปีไฟใต้ละลายงบ3แสนล้านปืนถูกปล้นกว่า2พันกระบอก!
12ปีไฟใต้ละลายงบ3แสนล้านปืนถูกปล้นกว่า2พันกระบอก!
วันที่ 4 มกราคม 2559 เป็นวันครบรอบ 12 ปีของเหตุการณ์ปล้นปืนครั้งใหญ่จำนวน 413 กระบอก ที่กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งถือเป็นปฐมบทของความรุนแรงชายแดนใต้รอบใหม่ จนถึงปัจจุบันเปลวไฟของสถานการณ์ความไม่สงบก็ยังไม่ดับมอดลง
ผ่านมา 12 ปี ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศชต. รวบรวมสถิติเหตุรุนแรงทุกรูปแบบ พบว่าเกิดขึ้นทั้งสิ้น 17,808 เหตุการณ์ แยกเป็นเหตุความมั่นคง หรือการก่อเหตุที่เชื่อว่ากระทำโดยผู้ก่อความไม่สงบ จำนวน 9,407 เหตุการณ์
ระเบิดกว่า 3 พันลูก–ตายเฉียด 4 พัน
ในจำนวนเหตุรุนแรง พบว่าเป็นเหตุยิงด้วยอาวุธปืนมากที่สุด 8,043 เหตุการณ์ รองลงมาคือเหตุก่อกวน 3,328 เหตุการณ์ ลอบวางระเบิด 3,026 เหตุการณ์ วางเพลิง 1,647 เหตุการณ์ ทำร้าย 342 เหตุการณ์ ปะทะ 259 ครั้ง ชิงอาวุธ 172 เหตุการณ์ ฆ่าอย่างทารุณ 102 เหตุการณ์ ประท้วง 65 ครั้ง และอื่นๆ 22 เหตุการณ์
สถานภาพความสูญเสียเฉพาะเหตุความมั่นคง 9,407 เหตุการณ์ มียอดผู้เสียชีวิตทุกกลุ่มรวมทั้งสิ้น 3,949 คน เป็นประชาชนทั่วไปมากที่สุด 2,624 คน รองลงมาเป็นทหาร 509 นาย ตำรวจ 395 นาย ครูและบุคลากรทางการศึกษา 140 คน พระ 19 รูป และผู้ก่อความไม่สงบ 325 คน
ส่วนผู้บาดเจ็บทุกกลุ่ม รวมทั้งสิ้น 9,625 คน เป็นประชาชนมากที่สุด 5,561 คน รองลงมาคือทหาร 2,461 นาย ตำรวจ 1,424 นาย ครูและบุคลากรทางการศึกษา 147 คน พระ 24 รูป และผู้ก่อความไม่สงบ 31 คน
ปี 58 เหตุรุนแรง-ความสูญเสียลด
สำหรับปี 2558 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เหตุรุนแรงรวมทุกประเภทเกิดขึ้นทั้งสิ้น 701 เหตุการณ์ เฉลี่ย 1.09 เหตุการณ์ต่อวัน ลดลงจากปี 2557 ที่มีเหตุรุนแรงรวม 1,210 เหตุการณ์ คิดเป็นลดลงร้อยละ 42.1
หากนับเฉพาะเหตุความมั่นคง ซึ่งแยกแยะออกมาแล้วว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ พบว่าปี 2558 มีเหตุความมั่นคงเกิดขึ้น 367 เหตุการณ์ คิดเป็นร้อยละ 52 ของเหตุรุนแรงรวมที่เกิดขึ้น ขณะที่ปี 2557 มีเหตุความมั่นคง 501 เหตุการณ์ เท่ากับว่าปี 2558 มีเหตุความมั่นคงลดลงร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับปี 2557
ส่วนยอดการสูญเสียทั้งเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุรุนแรงตลอดปี 2558 ก็ลดลงจากปีก่อนหน้า โดยปี 2558 มีผู้เสียชีวิตรวม 113 คน บาดเจ็บ 354 คน ลดลงจากปี 2557 ที่มีผู้เสียชีวิต 232 คน และบาดเจ็บ 525 คน
เฉพาะปี 2558 ที่มียอดผู้เสียชีวิต 113 คนนั้น ปรากฏว่ากลุ่มที่สูญเสียมากที่สุดยังคงเป็นประชาชนทั่วไป จำนวน 60 คน รองลงมาคือทหาร 27 นาย ตำรวจ 8 นาย ครู 1 คน พระ 1 รูป และผู้ก่อความไม่สงบ 16 คน
ขณะที่ยอดผู้บาดเจ็บ 354 คน แยกเป็นประชาชนทั่วไป 154 คน ทหาร 139 นาย ตำรวจ 57 นาย ครู 1 คน พระ 1 รูป และผู้ก่อความไม่สงบ 2 คน
หมู่บ้านสีแดงลด – หมู่บ้านพัฒนาเพิ่ม
จากสถานการณ์ในภาพรวมที่สถิติเหตุรุนแรงและความสูญเสียลดลง ทำให้การวัดระดับความรุนแรงโดยกำหนดเป็นสีของหมู่บ้าน จากเดิมที่ใช้ “สีแดง” หมายถึง หมู่บ้านเสริมความมั่นคง หรือหมู่บ้านที่ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบอยู่ และ “หมู่บ้านสีเหลือง” หรือหมู่บ้านเฝ้าระวัง ลดจำนวนลง
ขณะที่ “หมู่บ้านสีเขียว” ซึ่งหมายถึงหมู่บ้านที่ฝ่ายรัฐควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว จึงมุ่งเน้นงานพัฒนา หรือที่เรียกว่า “หมู่บ้านเสริมสร้างการพัฒนา” มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน จากจำนวนหมู่บ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจ.สงขลา ทั้งหมด 1,970 หมู่บ้าน แยกเป็นหมู่บ้านสีแดง หรือหมู่บ้านเสริมความมั่นคง จำนวน 136 หมู่บ้าน จากเดิมมี 319 หมู่บ้าน ลดลง 183 หมู่บ้าน หรือร้อยละ 57.37
หมู่บ้านสีเหลือง หรือหมู่บ้านเฝ้าระวัง ปัจจุบันมี 234 หมู่บ้าน จากเดิมมี 517 หมู่บ้าน เท่ากับลดลง 283 หมู่บ้าน หรือ ร้อยละ 54.74
หมู่บ้านสีเขียว หรือ หมู่บ้านเสริมการพัฒนา ปัจจุบันมี 1,600 หมู่บ้าน จากเดิมมี 1,160 หมู่บ้าน เพิ่มขึ้น 440 หมู่บ้าน หรือร้อยละ 37.93
ปืนถูกปล้น 2,000 กระบอก-ตามคืนได้ 804
ปฐมบทของเหตุรุนแรงชายแดนใต้เมื่อ 12 ปีก่อน คือเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอก จากค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่นั่นไม่ใช่การปล้นอาวุธครั้งเดียวที่กลุ่มก่อความไม่สงบเปิดปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทว่าตลอด 12 ปีที่ผ่านมา มีอาวุธปืนถูกปล้นจากเหตุรุนแรงรูปแบบต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 2,076 กระบอก ติดตามคืนมาได้เพียง 804 กระบอก
เฉพาะปืนที่ถูกปล้นจากค่ายปิเหล็ง จำนวน 413 กระบอก เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 จนถึงปัจจุบันติดตามคืนมาได้ 98 กระบอก แยกเป็นเอ็ม 16 จำนวน 89 กระบอก ปืนพกขนาด 11 มม. จำนวน 9 กระบอก
ส่วนปืนที่ถูกปล้นครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในเหตุโจมตีฐานพระองค์ดำ หรือฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารราบที่ 15121 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 จำนวน 65 กระบอกนั้น จนถึงปัจจุบันติดตามคืนได้ 20 กระบอก แยกเป็นปืนเอ็ม 16 จำนวน 15 กระบอก ปืนกลมืออูซี่ 4 กระบอก และปืนกลมินิมิ 1 กระบอก
คดีความมั่นคงศาลยกฟ้องเกือบครึ่ง
ในด้านของการดำเนินคดีความมั่นคง ตลอด 12 ปีไฟใต้ มีคดีความมั่นคงเกิดขึ้น 9,887 คดี รู้ตัวผู้กระทำผิดเพียง 2,247 คดี คิดเป็นร้อยละ 22.73 ในจำนวนนี้จับกุมผู้ต้องหาได้ 1,700 คดี ผู้ต้องหาเสียชีวิต 454 คดี ผู้ต้องหาหลบหนี 622 คดี ส่วนที่เหลืออีก 7,640 คดี เป็นคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด คิดเป็นร้อยละ 77.27
ส่วนคดีความมั่นคงที่ขึ้นสู่ศาล และศาลมีคำพิพากษาแล้ว มีทั้งสิ้น 472 คดี จำเลย 1,501 คน เป็นคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษ 240 คดี คิดเป็นร้อยละ 50.85 และศาลพิพากษายกฟ้อง 232 คดี คิดเป็นร้อยละ 49.15
คดีที่ศาลพิพากษาลงโทษ พบว่ามีจำเลยทั้งสิ้น 456 คน ศาลพิพากษาประหารชีวิต 46 คดี จำเลย 57 คน จำคุกตลอดชีวิต 76 คดี จำเลย 114 คน ที่เหลือเป็นคดีที่ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต และต่ำกว่านั้น
งบดับไฟใต้ละลายเฉียด 3 แสนล้าน
ตั้งแต่ปี 2547 มีรัฐบาลมาแล้ว 8 ชุด นายกรัฐมนตรี 7 คน ใช้จ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ไปแล้วทั้งสิ้น 262,671 ล้านบาท โดยงบประมาณปี 2559 ตั้งไว้ที่ 30,866 ล้านบาทเศษ สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ตัวเลขงบประมาณดังกล่าวเป็นตัวเลขเฉพาะ “งบโครงการ” หรือที่เรียกว่า “งบฟังก์ชัน” เท่านั้น ยังไม่รวมงบเงินเดือนข้าราชการ เจ้าพนักงานของรัฐ และรายจ่ายประจำปกติของหน่วยงานที่ลงไปแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
งบไฟใต้-ความมั่นคงพุ่งยุค คสช.
ตั้งแต่ปี 2547 มีรัฐบาลมาแล้ว 8 ชุด นายกรัฐมนตรี 7 คน ใช้จ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้วทั้งสิ้น 264,953 ล้านบาท โดยงบประมาณปี 2559 ตั้งไว้ที่ 30,866 ล้านบาทเศษ สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา
งบดับไฟใต้ 13 ปีงบประมาณ แยกเป็น ปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท ปี 2548 จำนวน 13,674 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 14,207 ล้านบาท ปี 2550 จำนวน 17,526 ล้านบาท ปี 2551 จำนวน 22,988 ล้านบาท
ปี 2552 จำนวน 27,547 ล้านบาท ปี 2553 จำนวน 16,507 ล้านบาท ปี 2554 จำนวน 19,102 ล้านบาท ปี 2555 จำนวน 16,277 ล้านบาท ปี 2556 จำนวน 21,124 ล้านบาท ปี 2557 จำนวน 25,921 ล้านบาท ปี 2558 จำนวน 25,744.3 ล้านบาท และปี 2559 จำนวน 30,886.6 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 264,953 ล้านบาท!
ทั้งนี้ ตัวเลขงบประมาณดังกล่าวเป็นตัวเลขเฉพาะ “งบโครงการ” หรือที่เรียกว่า “งบฟังก์ชัน” เท่านั้น ยังไม่รวมงบเงินเดือนข้าราชการ เจ้าพนักงานของรัฐ และรายจ่ายประจำปกติของหน่วยงานที่ลงไปแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปแล้ว 2 ปีงบประมาณ คือ ปี 2558 และปี 2559 ปรากฏว่างบดับไฟใต้ หรือที่อยู่ในแผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะงบของหน่วยงานด้านความมั่นคง
เริ่มจากกระทรวงกลาโหม ได้รับการจัดสรรจำนวน 207,718.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบปี 2558 จำนวน 14,769.8 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
ขณะที่งบกองทัพ ได้รับการจัดสรรงบเพิ่มขึ้นทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกที่ได้งบเกิน 1 แสนล้านบาท
เช่นเดียวกับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งมีบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการจัดสรรงบถึง 10,241.2 ล้านบาท เพิ่มจากงบปี 2558 ที่ได้รับการจัดสรร 8,906.5 ล้านบาท นับเป็นปีแรกที่ กอ.รมน.ได้รับการจัดสรรงบเกิน 1 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่มีพระราชบัญญัติจัดตั้งหน่วยงานเมื่อปี 2551
ขณะที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรง แต่เน้นงานด้านการพัฒนา ก็ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยได้รับการจัดสรร 3,800 ล้านบาทเศษ เพิ่มขึ้นจากงบปี 2558 ที่ได้รับ 2,742.5 ล้านบาท
ปัจจุบันภายใต้โครงสร้างการทำงานยุค คสช. ปรากฏว่าได้มอบหมายให้ กอ.รมน.เป็นหน่วยนำหน่วยเดียวในการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาและการใช้งบประมาณดับไฟใต้ โดยแกนนำ คสช.และผู้นำทางทหารหลายคนกล่าวตรงกันว่า เพื่อความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการ
พล.ท.เรืองศักดิ์ สุวรรณนาคะ แม่ทัพน้อยที่ 4 กล่าวว่า การใช้งบประมาณในขณะนี้ ซึ่งเน้นงานพัฒนา ตรงตามเป้ามากขึ้น ไม่กระจัดกระจายเหมือนที่ผ่านมา เพราะ กอ.รมน.มีบทบาทเป็นผู้ควบคุมและจัดสรรงบประมาณลงในพื้นที่ตามความจำเป็นด้านความมั่นคงซึ่ง กอ.รมน.มีข้อมูลพร้อม
ที่ผ่านมาในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกแบบให้ ศอ.บต.เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านการพัฒนาและอำนวยความยุติธรรม โดยออกกฎหมายการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 ขึ้นมารองรับ ทำให้ ศอ.บต.เป็นหน่วยงานที่มีสถานะเท่ากับ กอ.รมน. เพราะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ และมีเลขาธิการ ศอ.บต.เป็นข้าราชการระดับ 11
ส่วน กอ.รมน.ตามโครงสร้างที่พรรคประชาธิปัตย์วางเอาไว้ จะรับผิดชอบดูแลเฉพาะงานด้านความมั่นคง ตามยุทธศาสตร์ “การเมืองนำการทหาร” โดยมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานจัดทำแผนงานทั้งความมั่นคงและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวม เป็นแผน 3 ปี โดยแผนงานด้านการพัฒนา เสนอจาก ศอ.บต. ซึ่งมีสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีตัวแทนจากประชาชนกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่เข้าร่วม ขณะที่แผนงานด้านความมั่นคง ต้องไม่ขัดกับแผนที่เสนอโดย ศอ.บต.
อย่างไรก็ดี ในยุค คสช.ได้ลดบทบาท ศอ.บต.ลง ถึงขั้นมีแนวคิดแก้ไขกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมาย ศอ.บต. ซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 เพื่อให้ กอ.รมน.เป็นหน่วยนำในการบริหารจัดการทั้งแผนงานและงบประมาณเพียงหน่วยเดียว โดยให้เหตุผลเรื่องความเป็นเอกภาพ
ต้องจับตาดูว่าทิศทางการแก้ปัญหาตามแนวของ คสช.ภายใต้การนำของ กอ.รมน. จะนำพาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปในทิศทางใด