ผู้ประกาศข่าว'ยิปซี'กันตชาติ เกษมสันต์ ณ อยุธยา
ผู้ประกาศข่าว'ยิปซี'กันตชาติ เกษมสันต์ ณ อยุธยา : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดยสุรัตน์ อัตตะ เรื่อง/ภาพ
แม้จะเป็นผู้ประกาศข่าวในพระราชสำนัก เจ้าของรางวัลการใช้ภาษาไทยดีเด่น 3 ปีซ้อน แต่ก็ไม่ทิ้งในสิ่งที่ตัวเองรัก ที่ปัจจุบันหันมายึดอาชีพหมอดูไพ่ยิปซีควบคู่กับอาชีพผู้ประกาศข่าว สำหรับ “กันตชาติ เกษมสันต์ ณ อยุธยา” ถึงแม้หมอดูจะไม่ใช่อาชีพที่ทำรายได้หลัก แต่ก็รักงานด้านนี้หลังได้ฝึกสั่งสมประสบการณ์มานานหลายปี ผ่านการทดสอบกับผู้มีชื่อเสียงมานับไม่ถ้วน จนเป็นที่ยอมรับจากผู้ต้องการดูหรือเจ้าชะตาว่า “แม่นเหมือนจับวาง”
“อาชีพสื่อมวลชนกับหมอดูก็ไม่ต่างกัน ต้องยืนอยู่บนหลักการมีคุณธรรม จริยธรรม และที่สำคัญที่สุดคือ จรรยาบรรณในวิชาชีพ มันเป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับชีวิตของคน ส่วนใหญ่คนที่มาดูมักจะมีความทุกข์ เพราะฉะนั้นคุณธรรมสำคัญ ต้องทำอยู่บนพื้นฐานความรู้ความสามารถที่เรามี ทำให้ดีที่สุด ส่วนผลอะไรที่ออกมาเป็นลบ เราก็พูดในแนวทางแก้ไข ไม่พูดทำลายกำลังใจ พูดให้ท้อ ปรับให้เป็นบวกให้เขามีความสุขขึ้น”
มุมมองกันตชาติที่มีต่ออาชีพหมอดูไพ่ยิปซี ยิ่งสังคม เศรษฐกิจมีปัญหาอาชีพนี้ก็ยิ่งเฟื่องฟู ผู้คนก็ยิ่งให้ความสนใจ เพราะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ไม่ยากนัก หากมีความตั้งใจจริง แต่สิ่งนี้อาจกลายเป็นดาบสองคม หากหมอดูไม่มีคุณธรรม จรรยาบรรณในวิชาชีพ เนื่องจากอาชีพหมอดูนั้นคุณธรรม จริยธรรมสำคัญที่สุด แม้หลายคนมองว่าการดูดวงเป็นเรื่องไสยศาสตร์ที่ไม่สามารถพิสูจนจริงได้ แต่สำหรับกันตชาติกลับไม่คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะการดูดวงจากไพ่ยิปซี มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ในใจลึกๆ ที่สอดคล้องกับหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาเรื่องการเพ่งกสิณ ทำสมาธิ
“ไพ่ยิปซี ไม่เหมือนวิธีการดูดวงแบบอื่น แบบอื่นเน้นสถิติ คำนวณกับตัวเลข แต่อันนี้ไม่ใช่มันเป็นองค์ประกอบทางด้านพลังจิต เป็นศาสตร์ทางสมาธิ ซึ่งมันจะไปสอดคล้องกันความเชื่อทางพุทธศาสตร์ที่เราเคยเรียนมากับพระอาจารย์ บนหลักการของเหตุและผลก็เลยรู้ว่ามันเป็นพลังงานของคลื่นแม่เหล็กโลก ซึ่งมีอิทธิพลต่อดวงดาว ดวงดาวใกล้โลกมากมันจะส่งผลถึงโลกและตัวเรา อันนี้คือยิปซี เพราะฉะนั้นไพ่ยิปซีเป็นสื่อที่ได้รับผลกระทบคลื่นแม่เหล็กพลังงานไฟฟ้าต่างๆ ถ่ายทอดออกมาทางจิตให้ได้เหมือนกัน”
กันตชาติยอมรับว่า กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ โดยจุดเริ่มต้นมาจากสมัยเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตปทุมวัน ได้มีโอกาสไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านคาย จ.ระยอง หลังได้เรียนธรรมะกับหลวงพ่อแล้วก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ในหลายๆ เรื่องก็เลยถามหลวงพ่อ ท่านก็อธิบายให้ฟังมันเป็นทางผ่านของสมาธิ
“จริงๆ ท่านก็ไม่ได้ให้ไปยึดติดอะไรในสิ่งเหล่านั้น มันก็ตอบโจทย์ในใจเราลึกๆ ว่า เรื่องพวกนี้มันมีจริงๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องนี้ เราโชคดีอย่างที่ได้พบครูบาอาจารย์ในหลายๆ รูป ฟังมาบ้าง ครูพักลักจำบ้าง ไปฝังตัวอยู่กับท่าน ก็มีหลวงพ่อกัสสปมุนี หลวงพ่ออุตตมะ ล่าสุดก็ครูบากฤษดา วัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) อ.บ้านธิ จ.ลำพูน สิ่งเหล่านี้มันเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้”
กันตชาติเริ่มดูไพ่ยิปซีอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 2 ปีมานี่เอง เมื่อมีคนให้ความสนใจมากขึ้น โดยเริ่มจากเพื่อนร่วมงานก่อน จะบอกปากต่อปาก จนกระทั่งมีบุคคลมีชื่อเสียงในสังคมมากมาย จากในทุกวงการมาให้เขาดู ซึ่งประเด็นที่เจ้าชะตาให้ความสนใจก็หนีไม่พ้นใน 3 เรื่อง การงาน การเงินและความรัก โดยจ่ายค่ายกครู 1,000 บาทก่อนการทำนาย โดยใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ซึ่งกันตชาติยอมรับว่าบางคนไม่อยากอยู่จริงจัง แต่ต้องการมาทดสอบภูมิความรู้ของเขา ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาทำนายทายทัก ขณะที่เงินค่ายกครูนั้นไม่ได้เก็บไว้ใช้เอง แต่จะเอาไปทำบุญทั้งหมด
“การดูดวงไพ่ยิปซีจริงๆ ต้องใช้สมาธิในการดูกับเจ้าชะตา จิตต้องนิ่งไม่วอกแวก ผู้ดูจะต้องทำหน้าที่แปลความหมายไพ่ ไพ่ใบหนึ่งคนหนึ่งจับกับอีกคนหนึ่งจับ มันก็แปลไม่เหมือนกัน ต้องดูบริบทหลายๆ อย่างด้วย อย่างเช่นไพ่ 1 เหรียญ พอเปิดดู เปิดกี่ครั้งๆ ไพ่ตัวนี้มันออกมาตลอด เคยดูให้น้องที่ทำงานคนหนึ่ง เราก็ถามเขามีเรื่องอะไรปิดพี่หรือเปล่า มีข่าวดีแล้วไม่บอกหรือเปล่า เขาบอกหนูอุตส่าห์ปิดเป็นความลับ อุตส่าห์ไม่บอกว่าหนูกำลังจะมีคนมาหมั้นแล้ว ตรงกับเดือนที่ทำนายครั้งที่แล้วเป๊ะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกมาก” กันตชาติกล่าวอย่างภูมิใจ หลังดูไพ่ยิปซีให้น้องที่ทำงานคนหนึ่งและยอมรับว่าสามารถนำมายึดเป็นอาชีพและสร้างรายได้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นจากความสำเร็จของใครหลายๆ คนที่ยึดอาชีพหมดดูไพ่ยิปซี แต่สำหรับตัวเองแล้วคงทำได้แค่งานอดิเรก แต่อาศัยความชอบเป็นการส่วนตัวมากกว่า
“หมอดูไพ่ยิปซีก็เป็นอาชีพที่อยู่ในความสนใจของใครหลายๆ คนนะ เพราะว่ามันเป็นอาชีพที่ค่อนข้างสวนกระแส พอทุกคนมีความทุกข์ไม่รู้หันหน้าไปพึ่งใคร ก็มีหลายคนคิดในแนวนี้ก็เป็นโอกาสที่สามารถนำมาประกอบอาชีพได้ แต่ในส่วนตัวอันดับแรกก็คือชอบ สองได้ช่วยคน และสามได้ทำบุญกับพระศาสนา” กันตชาติกล่าวทิ้งท้าย พร้อมกับย้ำด้วยว่า แค่มีความสุขในสิ่งที่เราทำและช่วยหาทางออกให้คนดูสามารถดำเนินชีวิติอย่างปกติสุข ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและมีคุณค่ามากกว่าการแปลความหมายจากหน้าไพ่ยิปซี
เส้นทางชีวิตหมอดูดวง“ไพ่ยิปซี”
กันตชาติ เกษมสันต์ ณ อยุธยา หรือยอร์ช เกิดในครอบครัวนายทหาร เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องสองคน เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนดรุโณทยาน แล้วมาต่อมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จนกระทั่งจบ ม.6 จึงเข้าเรียนปริญญาตรีที่คณะศิลปกรรม จุฬาฯ สาขาดนตรีไทย มีความถนัดในการเล่นดนตรีไทยประเภทซอ ทั้งซอด้วง ซออู้ และซอสามสาย ระหว่างศึกษาก็ได้เป็นรองประธานชมรมดนตรีการละคร ก่อนมาจบปริญญาโทจุฬาฯ สาขานิเทศศาสตร์พัฒนาการ
ระหว่างเรียนปริญญาตรีกันตชาติมีโอกาสทำงานเป็นผู้บรรยายสารคดีจีโอกราฟฟิก บริษัท แปซิฟิคอินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ของดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล และจัดรายการวิทยุช่องกรีนเวฟในช่วงสั้นๆ ก่อนย้ายมาเป็นผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 อย่างเต็มตัวหลังเรียนจบปริญญาตรี จนถึงปัจจุบัน โดยรับผิดชอบอ่านข่าวในพระราชสำนักและเป็นผู้บรรยายโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยในงานพระราชพิธีต่างๆ มีโอกาสได้ถ่ายทอดเรื่องราว จารีตประเพณี ราชาศัพท์ที่ถูกต้องผ่านสื่อ ถืิอเป็นสิ่งที่มีความภาคภูมิใจที่สุด จนสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้นำเทปบันทึกการทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายในงานพระราชพิธีสำคัญๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนเป็นแบบอย่างการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องแก่นักเรียน นักศึกษา อาทิ
พิธีกรหน้าพระที่นั่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี งานปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน พิธีกรรายการ “ฟ้าห่มดิน” พิธีกรงานพระราชพิธี บรรยายสารคดีเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ สำนักงานเอกลักษณ์ของชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ การันตีด้วยรางวัลผู้ประกาศข่าวดีเด่นและผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น เริ่มจากปี 2544 รางวัลผู้ดำเนินรายการใช้ภาษาไทยดีเด่นจากกรมประชาสัมพันธ์ ปี 2547 รางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ผู้ประกาศข่าวดีเด่น” และปี 2551 รางวัลเข็มกลัดเพชร ผู้ประกาศข่าวดีเด่น 3 ปีซ้อน จากกรมประชาสัมพันธ์ จากนั้นปี 2552-54 ได้รับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นจากกระทรวงวัฒนธรรม และมูลนิธิเพชรภาษา ซึ่งเป็นผลงานที่มีความภาคภูมิใจที่สุดของเขา