ข่าว

ศาลปกครองฯ ไม่รับคำร้อง“สตง.”ขอพิจารณาคดีค่าโง่คลองด่านใหม่

ศาลปกครองฯ ไม่รับคำร้อง“สตง.”ขอพิจารณาคดีค่าโง่คลองด่านใหม่

10 พ.ย. 2559

ชี้ สตง. ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย ที่จะมีสิทธิยื่นตามกฎหมาย

 

         วันที่10พ.ย.59  ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ นายประวัติ วิสัยกุล ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนคดีรื้อฟื้นคลองด่าน และองค์คณะ มีคำสั่งไม่รับคำร้องของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ( สตง.) ที่ขอพิจารณาคดีใหม่ ในสำนวนที่ บริษัท วิจิตรภัณฑ์ ก่อสร้าง จำกัด , บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด , บริษัท กรุงธน เอนยิเนียร์จำกัด , บริษัท เกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์จำกัด ที่เป็นคู่สัญญาจ้างออกแบบร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ( คลองด่าน) และบริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ร้องที่1-6ยื่นฟ้อง กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการ ลงวันที่12ม.ค.54ที่คณะอนุญาโตฯ ให้ คพ.ชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย และดอกเบี้ย จำนวน4,983,342,383บาท และจำนวน31,035,780เหรียญสหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5ต่อปี นับตั้งแต่วันที่28ก.พ.46เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้คืนหนังสือค้ำประกันพร้อมค่าธรรมเนียม

        โดยศาลปกครองกลาง พิเคราะห์ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า คดีที่ บ.วิจิตรภัณฑ์ฯ กับพวกรวม6ราย ยื่นฟ้องให้ คพ. ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยคณะอนุญาโตฯ นั้น ผลแห่งคดีถึงที่สุดแล้วเมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาวันที่10ต.ค.57ยืนตามศาลปกครองชั้นต้นที่ให้ คพ.ชำระเงินกับ บ.วิจิตรภัณฑ์ฯ กับพวกรวม6ราย ตามคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตฯ ภายใน90วันนับแต่คดีถึงที่สุด ซึ่งผลของพิพากษานั้นก่อให้เกิดหน้าที่กับ คพ.ที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา

         การที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ผู้ร้อง ขอพิจารณาคดีขึ้นใหม่ โดยอ้างว่าเป็นส่วนราชการ ที่เป็นองค์กรอิสระจัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของการใช้เงินงบประมาณของส่วนราชการ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542มาตรา39วรรคหนึ่ง (2) สตง.ผู้ร้องจึงเป็นตัวแทนของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลเงินแผ่นดิน และมีส่วนได้ส่วนเสียในการชำระเงิน ของ คพ.ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำ285-286/2556โดยการขอพิจารณาคดีใหม่เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่ที่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลอาญา คดีหมายเลขดำ อ.1682/2557รวมทั้งหลักฐานอื่นที่รับฟังเป็นที่ยุติแล้วจะเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของคำพิพากษา ประกอบกับการที่ศาลปกครองชั้นต้นกับศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีได้รับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด โดยการที่ สตง. ขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณากรณีนี้ใหม่เป็นการช่วยปกป้อง คุ้มครองเงินทางราชการ ถือได้ว่าคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ส่วนร่วมของรัฐนั้น ศาลปกครองกลาง ก็เห็นว่า สตง.เป็นองค์กรอิสระจัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540             มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542มาตรา39วรรคหนึ่ง (2) ในการตรวจสอบเงินแผ่นดิน ดังนี้ (ก)ตรวจสอบการรับจ่าย การเก็บรักษา การใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินอื่นของหน่วยรับตรวจ หรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรับตรวจ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีหรือไม่ และอาจตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน การใช้จ่ายทรัพย์สินอื่น หรือการจัดซื้อจัดจ้างตามแผนงาน หรืองาน โครงการของหน่วยรับตรวจและแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป็นไปโดยประหยัด ได้ผลตามเป้าหมาย และมีผลคุ้มค่าหรือไม่ (ข) ตรวจสอบบัญชี และรายงานการรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมายและตามความเป็นจริงหรือไม่ (ค) ตรวจสอบบัญชีทุนสำรองเงินตราประจำปี และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมายและตามความเป็นจริงหรือไม่ (ง) ศึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับแผนงาน งานโครงการที่จะมีผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณ (จ) ตรวจสอบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นของหน่วยรับตรวจ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีหรือไม่ซึ่งในกรณีนี้ให้มีอำนาจตรวจสอบการประเมินภาษีอากร การจัดเก็บค่าธรรมเนียม และรายได้อื่นที่หน่วยรับตรวจจัดเก็บด้วย และหน่วยรับตรวจต้องเปิดเผยข้อมูลที่ได้มาจากผู้เสียภาษีอากร ผู้ชำระค่าธรรมเนียมหรือเงินอื่นใดให้แก่ สตง.ตามที่ร้องขอด้วย และให้ถือว่าการให้ข้อมูลดังกล่าวเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

         ตามกฎหมายจึงเห็นได้ว่า สตง.ผู้ร้องขอ เป็นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฯ มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการเงินของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542ประกอบกับเหตุผลที่อ้างมาในคำร้อง ยังไม่อาจถือได้ว่า สตง.ผู้ร้องขอ เป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสีย หรืออาจถูกกระทบโดยตรงจากผลแห่งคดี ที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ ตามบทบัญญัติ มาตรา75วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542ระบุว่า กรณีที่ศาลปกครอง มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองเสร็จเด็ดขาดแล้ว คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสีย หรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น อาจมีคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษา หรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้

        ทั้งนี้ นายสมชาย งามวงศ์ชน โฆษกศาลปกครองได้กล่าวชี้แจงว่า จากที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำขอพิจารณาคดีที่ สตง.ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษคลองด่านใหม่นั้น คำสั่งของศาลปกครองกลางในชั้นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด โดย สตง. ยังมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่ง

        ส่วนที่คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งคดีนั้นถึงที่สุดที่ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนให้ กรมควบคุมมลพิษ ( คพ.) เป็นผู้ชำระเงินกับบริษัททั้งหกนั้น นายสมชาย โฆษกศาลปกครองกล่าวว่า ถ้าภายหลังศาลปกครองสูงสุด จะมีคำสั่งรับคำขอพิจารณาคดีขึ้นมาใหม่ คดีก็จะกลับเข้ามาสู่การพิจารณาคดีใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งคำพิพากษาที่ให้ คพ.ชำระเงิน ก็อาจจะขอทุเลาไปก่อนได้ แต่ตามหลักระหว่างนี้ จะต้องปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ คพ. เป็นผู้ชำระเงินตามสัญญา หากยังไม่ชำระภายหลังก็จะต้องเสียค่าปรับการชำระล่าช้า