เกษตรฯ คุมเข้มส่งออก “ทุเรียนนอกฤดู”
โดย -โต๊ะข่าวเกษตร
กรมวิชาการเกษตร สั่งด่านตรวจพืชคุมเข้มส่งออก “ทุเรียนนอกฤดู”หวั่นศัตรูพืช และสินค้าตกเกรดหลุดสู่ปลายทาง ส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจถึงโรงคัดบรรจุ หนุนการค้าคล่องตัว ชี้สภาพอากาศแปรปรวนกระทบผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ดันราคาพุ่ง
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ทุเรียนนอกฤดูเป็นสินค้าเกษตรที่ไทยมีศักยภาพการผลิตและส่งออกสูง แต่เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนได้ส่งผลกระทบต่อการออกดอกและติดผลของทุเรียน ปีนี้คาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตทุเรียนนอกฤดูที่ออกสู่ตลาดจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาขยับตัวสูงขึ้นและชาวสวนขายได้ราคาดี ซึ่งขณะนี้เริ่มเปิดตลาดส่งออกทุเรียนนอกฤดูไปต่างประเทศแล้ว โดยช่วงเปิดฤดูกาลส่งออกระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2560 ไทยมีการส่งออกสินค้าทุเรียนสดแล้วกว่า 5,723.8 ตัน มูลค่า ประมาณ 155.3 ล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังตลาดจีน และเวียดนาม เป็นต้น และคาดว่าจะมีการส่งออกมากในช่วงเดือนเมษายนนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีศัตรูพืชกักกันติดไปกับทุเรียนส่งออกและไม่ให้ทุเรียนด้อยคุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐาน เช่น ทุเรียนอ่อน หลุดออกไปสู่ประเทศปลายทาง กรมวิชาการเกษตรจึงได้กำหนดมาตรการควบคุม ตรวจสอบ และออกใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกทุเรียนสดไปต่างประเทศ โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้ด่านตรวจพืชดำเนินการตรวจสอบทุเรียนนอกฤดูที่ส่งออกเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตรวจสอบโรงคัดบรรจุที่ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียน GMP หากพบไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดจะดำเนินการลงโทษตามลำดับคือ แจ้งเตือน พักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาตทันที (ข้อความที่ขีดเส้นอธิบดีให้เพิ่มเติมในข่าว)
“ก่อนเปิดฤดูกาลส่งออกทุเรียน นายตรวจพืชได้ลงพื้นที่ให้แนะนำและตรวจสอบเครื่องมือ/อุปกรณ์ทำความสะอาดผลทุเรียน รวมถึงการจัดการกำจัดศัตรูพืช นอกจากนั้น ด่านตรวจพืชยังได้ ทำหนังสือแจ้งผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนสดให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศคู่ค้าอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการส่งออกภายใต้ข้อตกลงพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับสินค้าผลไม้เมืองร้อนที่ส่งออกจากไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้ร่วมประชุมหารือกับผู้ประกอบการ/ผู้ส่งออก เพื่อชี้แจงให้ทราบถึงเงื่อนไขการปฏิบัติเพื่อการส่งออกทุเรียนสด และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศัตรูพืชที่ต้องเฝ้าระวังด้วย” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ด้านนายพิทวัฒน์ อ่อนทองหลาง หัวหน้าด่านตรวจพืชท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ด่านตรวจพืชท่าเรือแหลมฉบังเป็นหนึ่งด่านที่มีผู้ประกอบการมายื่นขอใบรับรองสุขอนามัยพืช (พ.ก.7) สำหรับการส่งออกทุเรียนสดจำนวนมาก ด่านฯจึงกำหนดมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อรองรับสินค้าส่งออกที่มีวันละกว่า 30 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักประมาณ540-600 ตัน/วัน โดยผู้ส่งออกที่ยื่นคำขอ พ.ก.7 ต้องระบุหมายเลขทะเบียนโรงคัดบรรจุ (GMP) และต้องไม่อยู่ในรายชื่อที่ถูกระงับการออกใบรับรองสุขอนามัยพืช จากนั้นเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชจะไปสุ่มตรวจทุเรียนสดที่จะส่งออก ณ โรงคัดบรรจุ เน้นตรวจสอบศัตรูพืชของทุเรียน ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ เพลี้ยแป้ง และหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน โดยจะสุ่มตัวอย่างสินค้า 3% ต่อชิปเม้นท์ เพื่อตรวจสอบก่อนออกใบรับรองสุขอนามัยพืชให้กับทุเรียนทุกล็อต
ที่ผ่านมา การตรวจสอบศัตรูพืชในทุเรียนส่งออก ทำการสุ่มตรวจที่บริเวณลานตรวจ ณ ด่านตรวจพืชท่าเรือแหลมฉบัง โดยต้องเปิดตู้คอนเทนเนอร์ สุ่มเก็บตัวอย่าง และตรวจสอบศัตรูพืชตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของประเทศคู่ค้า แต่การชักตัวอย่างทุเรียนมีข้อจำกัด เนื่องจากการสุ่มตรวจไม่สามารถดำเนินการได้ทั่วถึง สุ่มตรวจได้เฉพาะท้ายตู้เท่านั้น ทั้งยังมีปัญหาแรงงานและสถานที่ไม่เอื้ออำนวยกรณี ที่มีรถบรรทุกสินค้ารอคิวตรวจเพื่อส่งออกพร้อมกันปริมาณมาก และการเปิดตู้ตรวจตอนกลางวันจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพทุเรียน เพราะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายในตู้ซึ่งมีความเย็นประมาณ 1-4 องศาเซลเซียส เมื่อกระทบอากาศร้อนด้านนอกจะทำให้คุณภาพทุเรียนเสียหาย และที่สำคัญหลังจากออกใบรับรองสุขอนามัยพืชไปแล้วยังมีการแจ้งเตือนการตรวจพบศัตรูพืชที่ติดไปกับทุเรียนของไทยด้วย
ดังนั้นด่านฯได้แก้ไขปัญหาโดยส่งเจ้าหน้าที่ไปสุ่มตรวจสินค้าที่โรงคัดบรรจุ แล้วปิดผนึกหรือซิลล์ตู้คอนเทนเนอร์ ไม่ต้องเปิดตู้ตรวจซ้ำ ณ หน้าด่านก่อนส่งออกอีก ซึ่งวิธีการดังกล่าวนอกจากสามารถวางแผนจัดการพื้นที่และตรวจสอบศัตรูพืชได้อย่างเป็นระบบและทั่วถึงแล้ว ยังเป็นการอำนวยความสะดวกและช่วยเพิ่มความคล่องตัวทางการค้าได้ อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่า ผู้ประกอบการ/ผู้ส่งออกถูกระงับการออกใบรับรองสุขอนามัยพืช หรือตรวจพบศัตรูพืชกักกันของจีนและไม่สามารถกำจัดให้หมดไปได้ หรือตรวจพบว่าผู้ส่งออกไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในพิธีสารฯ กรมวิชาการเกษตรจะไม่ออกใบรับรองสุขอนามัยพืชให้และไม่อนุญาตให้ส่งออกได้