ข่าว

“โมนาโก”หรือความสำเร็จกำลังจะหวนคืน?

“โมนาโก”หรือความสำเร็จกำลังจะหวนคืน?

03 พ.ค. 2560

ย้อนชม อาแอส โมนาโก ชุดรองแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์ปี 2004 ที่เคยมีดีถึงขั้นโค่นเรอัล มาดริด และ เชลซี ในรอบน็อคเอาท์

ถือเป็นปีทองสำหรับ อาแอส โมนาโก สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อสามารถฝ่าด่านเข้ามาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีกทั้งผลงานในลีกก็กำลังมีลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 16 ปี เมื่อพวกเขานำเป็นจ่าฝูงของตาราง โดยมีแต้มห่างจาก ปารีส แซงต์ แขร์กแมง รองจ่าฝูง อยู่ 3 แต้ม ขณะเหลือการแข่งขันอีก 4 นัด

ความร้อนแรงดังกล่าวต้องยกความดีความชอบให้ เลโอนาร์โด ยาร์ดิม กุนซือโปรตุเกส วัย 42 ปี ที่สามารถปลุกปั้นขุมกำลังที่เต็มไปด้วยบรรดาดาวรุ่งมากพรสวรรค์ให้ลงเล่นภายใต้รูปแบบและแนวทางที่ดุดันจนกลายเป็นทีมที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษจากการทะลุเข้ามาถึงรอบตัดเชือกศึกฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปในปีนี้

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สโมสรจากแดนน้ำหอมทีมนี้โผล่ขึ้นมาสร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมแบบนี้ เพราะย้อนกลับไปเมื่อปี 2004 พวกเขาเคยทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยบิ๊กเอียร์มาแล้ว แม้สุดท้ายจะเข้าป้ายเพียงตำแหน่งรองแชมป์ แต่เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนยังไม่ลืมความบยอดเยี่ยมของผู้เล่นชุดนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งวันนี้เราจะขอพาย้อนกลับไปดูความสำเร็จของ โมนาโก ชุดปี 2003-04 ว่าพวกเขาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน
   
งานแรกของ“เดส์ชองส์”
หลังจากเป็นหนึ่งในขุนพลชุดแชมป์โลกกับทีม“ตราไก่”ฝรั่งเศส ในปี 1998 ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เริ่มบทบาทในฐานะกุนซือกับโมนาโกเป็นทีมแรก และเพียงแค่งานแรกเขาก็สามารถฉายแววของยอดโค้ชออกมาได้ทันที
เดส์ชองส์ ทำโมนาโกจากทีมกลางตารางจนก้าวขึ้นมาเป็นทีมหัวแถวได้สำเร็จ ซึ่งปีนั้นพวกเขาจบด้วยอันดับ 3 ของตารางลีกเอิง ฝรั่งเศส โดยมีแต้มห่างจาก โอลิมปิก ลียง ทีมแชมป์เพียง 4 แต้มเท่านั้น 
ถึงไม่สามารถประสบความสำเร็จในลีก แต่ผลงานบอลถ้วยยุโรปของเดส์ชองส์นั้นเข้าตามากๆ จนในที่สุดยูเวนตุสตัดสินใจดึงไปคุมทัพเมื่อปี 2006
    
ทีมม้ามืดแห่งซีซัน

ผลงานในยูซีแอลปีนั้นของโมนาโกที่เข้าตาเป็นพิเศษ คือการที่สามารถโค่น 2 ทีมมหาเศรษฐีจนได้รับการจับตามองในตำแหน่งม้ามืด

พวกเขาฝ่าด่านเรอัล มาดริด เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายมาด้วยกฏอเวย์โกล หลังประตูรวม 2 นัดสมอกัน 5-5 จากนั้นในรอบรองชนะเลิศพวกเขาโคจรมาเจอกับ เชลซี ที่โรมัน อบราโมวิช เพิ่งเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมใหม่ๆ และดันมาเจอทีเด็ดของพวกเขาทันที เกมแรก โมนาโก ชนะมาก่อน 3-1 และเกมที่สองบุกไปยันเสมอได้ 2-2 ส่งผลให้ เชลซี ในยุคเคลาดิโอ รานิเอรี ที่ทุ่มซื้อซูเปอร์สตาร์อย่าง เอร์นัน เครสโป, อาเดรียน มูตู, โคลด มากาเลเล และ เดเมียน ดัฟฟ์ ต้องตกรอบไปแบบขายหน้าและนี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ อบราโมวิช ไปดึง มูรินโญมาคุมทัพแทน รานิเอรี ในฤดูกาลต่อมาทันที

“มอริเอนเตส”คืนฟอร์ม
โมนาโก ต้องพ่ายแพ้ให้กับ ปอร์โต 0-3 ในยุคที่โชเซ มูรินโญ ขึ้นมาเถลิงบัลลังก์เจ้ายุโรปได้เป็นครั้งแรก ซึ่งปีนั้นถ้าไม่นับทีมของมูรินโญแล้วโมนาโกคือทีมที่เล่นได้อย่างตื่นเต้นและน่าดูที่สุดบนเวทียุโรป โดยเฉพาะ เฟร์นานโด มอริเอนเตส อดีตดาวยิงระดับขึ้นหิ้งของเรอัล มาดริด ซึ่งย้ายมาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัวและสามารถสร้างผลงานถล่มประตูให้กับทีมได้เป็นกอบเป็นกำ
แม้จะยิงได้เพียง 10 ประตูในลีก แต่ มอริเอนเตส มาฉายแววกับเกมยุโรป เมื่อยิงไป 9 ประตู จากการลงสนาม 12 นัด คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2003-04 มาครองได้แบบเหนือความคาดหมาย โดยแมตช์ที่ต้องจดจำเป็นพิเศษ คือ การที่เจ้าตัวยิงประตูได้ทั้งสองนัดในการพบกับ“ราชันชุดขาว”จนเขี่ยต้นสังกัดที่แท้จริงร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปแบบน่าเจ็บใจที่สุด

แจ้งเกิด "ดาโด แปร์โซ"
ก่อนจะไปสร้างชื่อกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสกอตติชพรีเมียร์ลีกสมัยเดียวกับ เฮนริค ลาร์สสัน ตำนานดาวยิงเซลติก ดาโด แปร์โซ ถือเป็นอีกหนึ่งดาวยิงตัวฉกาจของทีมร่วมกับ มอริเอนเตส นอกจากทรงผมหางม้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำของแฟนบอลแล้ว สไตล์การเล่นและบทบาทการล่าตาข่ายยังเป็นอีกสิ่งที่แฟนโมนาโกไม่เคยลืม ด้วยความสามารถในการเล่นลูกกลางอากาศ เช่นเดียวกับการครองบอลไว้กับตัว
แปร์โซ ระเบิดฟอร์มพา โมนาโก ทะลุผ่านเข้าไปถึงนัดชิงชนะเลิศและเป็นที่จดจำอย่างมากจากการเหมาทำคนเดียว 4 ประตูในเกมไล่ถล่ม ลา คอรุนญ่า 8-3 พร้อมกับเป็นการถล่มประตูกันมากที่สุดในฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ของยุโรป ณ ขณะนั้น

สำรองที่ชื่อ“อเดบายอร์”
แม้แฟนบอลส่วนใหญ่จะจำภาพของ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ในฐานะนักเตะจอมอื้อฉาว แต่กับบทบาทจอมล่าตาข่ายในถิ่นสต๊าด หลุยส์ เดอซ์ ถือว่าเขาทำได้ดีทีเดียว ในยุคนั้น อเดบายอร์ ถูกวางไว้เป็นตัวเลือกรองจาก มอริเอนเตส และ แปร์โซ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ดาวยิงเบอร์ต้นของทีม แต่เขาก็ตอบแทนด้วยการยิงไป 8 ประตู ในซีซั่นนั้น พร้อมกับเป็นอะไหล่ชั้นดีเวลาทีมล้ามาจากเกมยุโรป
    
“ชูลี” ยอดกัปตัน
หากเปรียบในยุคปัจจุบัน ลูโดวิช ชูลี คงเปรียบได้กับ แบร์นาโด ซิลวา จอมทัพโปรตุเกส ซึ่งทีมจะขาดไม่ได้ ดาวเตะชาวฝรั่งเศสโดดเด่นอย่างมากกับบทบาทปีกขวาที่คอยสร้างสรรค์เกมรุกให้กับทีมได้อย่างไหลลื่น โดยเกมชนะ เรอัล มาดริด 3-1 ในเลกสองของรอบ 8 ทีม คือแมตช์ที่ดี่ที่สุดของเขาในถ้วยยุโรปกับโมนาโก เมื่อสามารถเหมาคนเดียวสองประตูจนช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบในที่สุด
ความสำคัญของเขากับทีมสังเกตได้ดีที่สุดในเกมรอบชิงชนะเลิศ กับปอร์โต เมื่อเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บโคนขาหนีบจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกโดยมีเวลาอยู่ในสนามเพียง 23 นาที ซึ่งพอไม่มี ชูลี อยู่ในสนาม เกมรุกของโมนาโก ก็ดูจะไปไม่เป็นเลยทีเดียว
   
พ่อมดของทีม
ได้รับการขนานนามให้เป็น "เบ๊คแฮม ฝรั่งเศส" สำหรับ เฌโรม โรเตน ปีกซ้ายชาวฝรั่งเศสรายนี้ และยิ่งเมื่อได้เล่นร่วมกับ ลูโดวิช ชูลี จึงทำให้เกมริมเส้นของโมนาโกยากที่จะหาใครมาหยุดอยู่เลยทีเดียว โดยนอกจากการวางบอลริมเส้นที่เชื่อใจได้แล้ว เจ้าตัวยังมีทีเด็ดที่ลูกเซตพีชจนทำให้โมนาโกมีแนวรุกที่ครบเครื่องที่สุดทีมหนึ่งในฤดูกาลนั้น ก่อนที่ความผิดหวังในนัดชิงชนะเลิศจะทำให้เขาตัดสินใจย้ายซบเปแอสเชในซีซั่นถัดมาทันที
      
ว่าที่แบ๊คซ้ายที่ดีที่สุดในโลก
ปาทริค เอฟรา คือดาวเตะที่ได้รับความไว้วางใจจาก เดส์ชองส์ ให้ลงเล่นทุกเกมในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลนั้น ด้วยการวิ่งเติมเกมรุกที่เฉียบขาดและพละกำลังที่ดูจะไม่มีหมด เอฟรา ได้รับการจับตามองอย่างมากจากบรรดาทีมคู่แข่งในยุโรป ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็ให้เครดิตกับเดส์ชองส์ว่ามีบทบาทอย่างมากในการผลักดันให้มาถึงจุดนี้สำหรับนักเตะที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในโลก

สังเกตุได้ว่าขุมกำลังของโมนาโก ชุดปี 2004 กับ ชุดปัจจุบัน ต่างอุดมไปด้วยบรรดาแข้งพรสวรรค์มากมาย ไล่ตั้งแต่ ชูลี, เอฟรา, โรเตน, มอริเอนเตส มาจนถึง แบร์นาโด ซิลวา, เมนดี, เลอมาร์ และ เอ็มบัปเป ซึ่งบางทีก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาอาจย้อนรอยความสำเร็จเหมือนเมื่อ 13 ปีก่อนได้อีกครั้ง