"นายพลตำรวจใหญ่"กร่าง..!บี้ถอนสัญชาติ"ไทยม้ง"
ร้อง"มท.1"ถูก"นายพลตำรวจใหญ่"กร่าง.!อ้าง"บิ๊กตู่ – บิ๊กป้อม"คุกคามถอนสัญชาติ ซัดจนท.ยัดเยียดดีเอ็นเอเพี้ยนจับโยงทัวร์ศูนย์เหรียญ ยันรับสัญชาติเป็นคนไทยถูกต้อง
1 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุชิต เหมารุ่งโรจน์ หรือนายซง แซ่ม้า ชาวเขาเผ่าม้ง พร้อมทนายความ เดินทางมายืนหนังสือถึงพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ผ่านกลุ่มงานรับเรื่องร้องทุกข์ สำนักงานรัฐมนตรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบกรณีนายอำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีคำสั่งยกเลิกรายการในฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน
โดยนายอนุชิต หรือซง กล่าวยืนยันว่า เป็นคนไทย สัญชาติไทย โดยเป็นชาวเขาเผ่าม้ง เกิดที่หมู่บ้านนาหลวงสีชมพู ตำบลแม่ละมุ้ง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งบรรพบุรุษของตนเคยอยู่ในกองพล 93 ทำหน้าที่ต่อสู้ป้องกันประเทศจนได้รับการลงรายการสัญชาติตามระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ปี 2535 บัตรประชาชนถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย และเพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้าน เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2542 จนได้รับอนุมัติในวันที่ 3 มี.ค. 2543 ที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จึงได้เปลี่ยนนามสกุลจากนายซง เป็นนายอนุชิต ต่อมาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
"สำนักงานเขตบึงกุ่ม ได้กล่าวหาผมว่า ทำความผิดในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โดยการสวมตัวบุคคลอื่นเพื่อให้มีสัญชาติในไทย ผมได้มอบตัวเพื่อรีบทราบข้อกล่าวหา ได้รับการปล่อยตัวออกมา ทั้งๆที่สำนักงานเขตบึงกุ่มได้ทำหนังสือสอบถามไปยังอำเภอพบพระ ให้ดำเนินการตรวจสอบการเพิ่มชื่อของผมจำนวน 2 ครั้ง จนได้รับการยืนยันจากอำเภอพบพระ ว่า ผมมีฐานข้อมูลในบัตรประชาชนจริงในปี 2556 ได้รับการลงสัญชาติถูกต้องตามระเบียบในปี 2559 แต่ปรากฏว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 60 ที่ผ่านมา ยังมีความพยายามดำเนินคดีกับผม โดยนายอำเภอพบพระ ได้มอบหมายปลัดอำเภอเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จเพื่อออกบัตรประชาชน ผมยืนยันว่า ได้ทำถูกต้องตามกฎหมายในฐานะคนไทยแล้ว แต่เจ้าหน้าที่กลับแจ้งความดำเนินคดีอาญากับผม" นายอนุชิต กล่าว
นายอนุชิต กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 1พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ร้องขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าราชการจังหวัดตากต่อกรณีดังกล่าว และได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปผลตรวจสอบ แต่ปรากฏว่า มีนายตำรวจยศนายพลได้สั่งการให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยชะลอผลการสรุปเรื่องไว้ก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบพยานหลักฐานใหม่เกี่ยวกับ ดีเอ็นเอ เป็นการเร่งด่วน โดยก่อนหน้านี้มีตำรวจ ทหารนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายครั้ง และนายตำรวจยศนายพลมักจะอ้างชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ในการดำเนินการตลอด ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ กับพล.อ.ประวิตร จะเกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ
"การกระทำของตำรวจยศนายพลคนดังกล่าว เป็นเหตุให้ฝ่ายปกครองไม่มีการสรุปเรื่องของผม และได้มีคำสั่งย้ายนายอำเภอพบพระ จังหวัดตาก เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการโยกย้ายผิดปกตินอกวาระ และนายอำเภอพบพระคนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งเพียง 7 วัน ก็ได้มีคำสั่งเพิกถอนรายการบัตรประจำตัวประชาชนของผมทันที เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้นเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมเข้าใจว่า เกิดจากการที่นายตำรวจยศนายพลคนดังกล่าว ได้ขอให้ผมให้การเป็นพยานพูดบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการจับกุมดำเนินคดีกับบริษัททัวร์ที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อปลายปี 2559 หรือทัวร์ศูนย์เหรียญ ในข้อหาสมคบกันเป็นอั้งยี่ ประกอบกิจการนำเที่ยวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่เป็นความจริง ผมจึงปฏิเสธ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก และได้ข่มขู่ว่า จะเพิกถอนสัญชาติไทยของผม แต่ผมไม่กลัว เพราะได้รับสัญชาติมาถูกต้องแล้วถึง 2 ครั้ง นายพลตำรวจคนดังกล่าว จึงไม่สามารถดำเนินการเพิกถอนสัญชาติได้ จึงหาช่องทางอื่นๆมาดำเนินคดีกับผม โดยกล่าวหาว่าผมแจ้งความเท็จด้วยการนำผลดีเอ็นเอ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมายืนยันว่า ผมกับมารดาไม่ใช่แม่ลูกกัน ซึ่งไม่จริง นอกจากนี้ผมยังทราบว่าเขากำลังจะดำเนินการกล่าวหาผมว่าฟอกเงิน เช่นเดียวกับเจ้าของบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญที่ถูกจับติดคุก และได้รับการปล่อยตัวจนเป็นข่าวใหญ่ รวมถึงมีการข่มขู่ไปยังญาติพี่น้องผมอีกด้วย" นายอนุชิต กล่าวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
นายอนุชิต กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 20พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับทราบคำสั่งยกเลิกรายการบัตรประชาชน ของนายอำเภอพบพระ ทางไปรษณีย์ จึงเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และกฎหมาย จึงได้ยื่นคำสั่งอุทธรณ์เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา และข้อความเป็นธรรมไปยังรมว.มหาดไทย ให้ตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยขอให้รมว.มหาดไทย มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งยุติเรื่องที่มีการกดดันข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจให้กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกับตน เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการในชั้นศาลต่อไป.