สรรพากรจ่อชงคลัง ภาษีค้าออนไลน์15%
สรรพากรจ่อชงคลัง ภาษีค้าออนไลน์15%
กรมสรรพากรอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (เฮียริ่ง) ต่อร่างกฎหมายเรียกเก็งภาษีจากการทำธุรกิจผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ผ่านเว็ปไซค์ของกรมสรรพากร เพื่อนำความเห็นมาปรับปรุงร่างกฎหมายให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำหนดให้การออกกฎหมายใหม่ฉบับใด จะต้องเปิดรับฟังความเห็นประชาชนในระยะเวลา 15 วัน ทำให้การเสนอร่างกฎหมายให้ระดับนโยบายพิจารณาต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมที่จะเสนอภายในเดือนมิ.ย.2560
สรรพพากรได้ใช้เวลาร่างกฎหมายนานหลายเดือน โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมวางแนวทางจัดเก็บภาษี ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องต่อการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีและการค้าขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ จากภาครัฐและเอกชน
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขั้นตอนการเสนอร่างกฎหมายจะต้องผ่านกระบวนการเฮียริ่ง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อน ดังนั้น กำหนดเวลาที่จะเสนอร่างกฎหมายเพื่อพิจารณาในระดับนโยบายจึงต้องเลื่อนออกไป แต่มั่นใจว่า จะเสนอร่างกฎหมายให้ระดับนโยบายพิจารณาภายในเดือนก.ค.นี้
แนวคิดของการจัดเก็บภาษีe-Businessเกิดขึ้น เมื่อธุรกิจการค้ามีการเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการค้าขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบออนไลน์กันมากขึ้น มูลค่าการซื้อขายบนโลกออนไลน์เท่าที่พอประเมินได้อยู่ในระดับสูงนับล้านล้านบาท ขณะที่ ภาครัฐยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีการทำธุรกิจนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย คือ ธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและการโอนเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และ รวมถึง การดำเนินธุรกิจบนนวัตรกรรมการเงินรูปแบบใหม่อื่นๆ แม้ผู้ประกอบการจะไม่จัดตั้งอยู่ในไทย ก็ให้ถือว่า มีสถานประกอบการในไทย ซึ่งเข้าข่ายต้องชำระภาษีเช่นเดียวกันกับผู้ประกอบการในประเทศไทย
“เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ถ้ามีธุรกรรมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นซื้อหรือขายสินค้าหรือให้บริการโดยเงินโอนในไทย แม้เขาไม่อยู่ในไทย ให้ถือว่า มีสถานประกอบการในประเทศไทย ซึ่งต้องเสียภาษี อาทิ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีเงินได้ต่างๆ”
สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษี e-Business ขณะนี้ มีการปรับปรุงให้มีเพดานอัตราการจัดเก็บสูงสุดที่ 15% ของเงินได้ที่จ่าย จากเดิมที่มีแนวคิดจะจัดเก็บที่อัตรา 5% ของเงินได้ที่จ่าย โดยอัตราที่จะจัดเก็บใหม่นี้ จะอิงตามมาตรา 70 ของประมวลรัษฎากร
อย่างไรก็ดี อัตราการจัดเก็บภาษี จะมีหลายอัตรา ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกรรม ซึ่งในร่างกฎหมายจะมีการแยกประเภทของธุรกรรมที่จะมีการจัดเก็บไว้อย่างชัดเจน และ จะมีข้อยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีให้ เช่น กรณีที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศของผู้ทำธุกรรม
ทั้งนี้ มาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรระบุว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่มีแหล่งเงินได้ที่เกิดขึ้นในไทย ที่เป็นเงินได้ที่พึงประเมินตามมาตรา 40(2)(3)(4)(5)หรือ(6) ที่จ่ายจากหรือในไทย ไม่ว่าบุคคลใดๆ ย่อมมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามแหล่งเงินได้ (Source Rule) และเพื่อให้การจัดเก็บภาษีเงินได้ เป็นไปด้วยดี จึงกำหนดให้ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยผู้มีเงินได้ไม่ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติภาษีอื่นใดอีก
อย่างไรก็ดี กรมฯไม่ได้ต้องการที่จะให้มีการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่การจัดเก็บดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบ โดยเฉพาะผู้เสียภาษีที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน ธุรกิจเหล่านี้ ไม่มีการเสียภาษี ดังนั้น กรมฯ จึงต้องวางแนวทางการจัดเก็บ เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้ เข้ามาอยู่ในระบบอย่างถูกต้อง
สำหรับวิธีปฏิบัติต่อการเก็บภาษีบนธุรกรรมดังกล่าว ในกฎหมายจะให้อำนาจสถาบันการเงิน เป็นผู้จัดเก็บภาษี หัก ณ ที่จ่าย แทนกรมสรรพากร โดยเมื่อใดที่มีการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการใดๆ บนโลกออนไลน์ต่างๆ สถาบันการเงินในไทย มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจำนวน 5% เพื่อนำไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากร โดยสถาบันการเงินจะต้องทำหน้าที่ส่งรายการการหักภาษีดังกล่าวมายังกรมสรรพากรด้วย
“จะมีแบบฟอร์มให้กับธนาคาร เพื่อให้ลูกค้าที่จะมีการทำธุรกรรมการโอนเงินใดๆ ผ่านธนาคารว่า การรับโอนเงินนั้นๆ เป็นการรับโอนตามปกติ หรือ มีเป็นการรับโอนในเชิงธุรกิจ ซึ่งลูกค้าจะเป็นผู้ที่แจ้ง จากนั้น ธนาคารจะส่งแบบฟอร์มนี้กลับมากรมฯ และกรมฯก็จะเป็นผู้ตรวจสอบ เหมือนกับการเสียภาษี ที่ผู้เสียภาษีจะยื่นแบบแสดงรายได้ว่า ตนมีรายได้จำนวนเท่าใด แต่ทางกรมฯจะเป็นผู้ตรวจสอบว่า ผู้ยื่นมีรายได้จริงตามที่แสดงหรือไม่”
นายประสงค์กล่าวด้วยว่า การประเมินมูลค่าการทำธุรกรรมบนธุรกิจออนไลน์สูงหลักล้านล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ส่วนที่อยู่ในระบบ เช่น การจองตั๋วเครื่องบินผ่านระบบออนไลน์ หรือ การชำระเงินของส่วนราชการและเอกชนต่างๆ และ 2.ส่วนที่ไม่อยู่ในระบบ เช่น การจ่ายค่าโฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค กูเกิล ไลน์ หรือ อูเบอร์ ซึ่งในส่วนที่ไม่อยู่ในระบบนี้ รัฐบาลไม่ได้รับการชำระภาษีจากธุรกรรมใดๆเลย
ยกตัวอย่าง กรณีการให้บริการแท็กซี่ของอูเบอร์นั้น ปัจจุบัน ไม่มีการเสียภาษี แม้จะดูเหมือนว่า อูเบอร์ทำธุรกิจเกี่ยวกับขนส่ง ซึ่งไม่มีภาระภาษี แต่จริงๆแล้วอูเบอร์ ไม่ได้ทำธุรกิจขนส่ง แต่กินหัวคิวค่าบริหารจัดการระบบ ซึ่งจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัจจุบันเงินค่าบริการแท็กซี่ทุกๆ 100 บาท จะถูกโอนไปยังอูเบอร์ประเทศเนเธอร์แลนด์ จากนั้น อูเบอร์จะโอนเงินกลับมาให้คนขับแท็กซี่จำนวน 80 บาท ส่วน 20 บาทนั้น อูเบอร์จะหักออกเป็นค่าบริหารจัดการ แต่เงินทั้ง 100 บาท ไม่มีการเสียภาษีเลย
ประเมินกันว่า เม็ดเงิน 20 บาทที่อูเบอร์หักไว้นี้ จะมีเม็ดเงินจริงประมาณ 2 พันล้านบาท แต่เงิน 2 พันล้านบาทนี้ กลับไม่มีการเสียภาษีแต่อย่างใด และ รวมถึง เงิน 80 บาทที่คนขับแท็กซี่อูเบอร์ได้รับ ซึ่งจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยเช่นกัน
“เงินนี้ ควรอยู่ในไทยไม่ใช่ไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งจะต้องมีการเสียภาษีบ้าง อย่างน้อยก็ต้องเสียแวต 7% และ หัก ณที่ จ่าย เพราะถ้าเป็นธุรกิจในไทยก็ถือเป็นการเก็บภาษีตามมาตรฐานกฎหมายปกติ คนที่ทำการค้า แต่ถ้าไม่ตั้งในไทย ต้องแก้กฎหมาย แม้เขาไม่อยู่ในไทย ถ้ามีกิจกรรมเกิดขึ้นในไทย แหล่งเงินได้อยู่ในไทย แม้ไม่อยู่ในไทย ก็ต้องเก็บ ”
นายประสงค์ยังยกตัวอย่างกรณีการซื้อโฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค ไลน์ หรือ กูเกิล โดยเม็ดเงินเหล่านี้ ได้ถูกโอนไปยังต่างประเทศ ทั้งที่โฆษณาทำให้คนไทยได้ดู ซึ่งก็ต้องนับว่า เป็นการทำธุรกิจในไทยด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดีขณะนี้ กรมฯไม่ทราบตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้ในการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ดังกล่าว แต่ประเมินจากรายได้ของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโฆษณาที่มายื่นแบบชำระภาษีในปี 2559 ว่า รายได้หายไปราว 1 หมื่นล้านบาท นั่นอาจจะหมายความว่า เป็นเม็ดเงินที่ผันไปโฆษณาผ่านสื่ออนไลน์ดังกล่าวก็ได้