ข่าว

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

26 ต.ค. 2560

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกฉบับวันที่ 26 ตุลาคม 2560

 

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

 

ขอเดินตาม“คำสอนพ่อ”

               13 ตุลาคม 2560 เป็นวันที่ข้าพเจ้าจดจำไม่รู้ลืมวันที่ “พ่อ” ของปวงชนชาวไทยเสด็จสู่สวรรคาลัย วันที่มีเสียงร้องไห้ที่ดังไปทั่วแผ่นดินไทย วันที่พื้นปฐพีเปียกน้ำเจิ่งนองทั้งที่ไม่มีฝนตก วันที่ฟ้าดูมืดมัวทั้งที่แสงแดดยังส่องอยู่ เหตุการณ์นี้ผ่านไปเป็นเวลา 1 ปีเต็ม แต่ทุกอย่างเหมือนเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วัน ความทรงจำ ความอาดูร ยังคงอยู่ในดวงจิตของข้าพเจ้าอยู่เสมอ แต่ด้วยชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป ข้าพเจ้าต้องฝืนระงับความเศร้าโศกโดยระลึกอยู่เสมอว่า พระองค์ยังมิได้จากพวกเราไปไหน พระองค์ยังประทับอยู่กับคนไทยทุกเวลา พระองค์ท่านมีบุญคุณกับคนไทยทุกคน ท่านเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้าอยากเป็นครูที่ดี ข้าพเจ้าจึงยึดมั่นในคำสอนของพระองค์ท่าน ดังพระราโชวาท

               ​“...การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญยิ่งของมนุษย์ คนเราเมื่อเกิดมาก็ได้รับการสั่งสอนจากบิดามารดา อันเป็นความรู้เบื้องต้น เมื่อเจริญเติบใหญ่ขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของครูและอาจารย์สั่งสอนให้ได้รับวิชาความรู้สูง และอบรมจิตใจให้พร้อมด้วยคุณธรรม เพื่อจะได้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติสืบไป…” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร 13 ธันวาคม 2505

               นับจากที่พระองค์จากไป ข้าพเจ้าได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงสอน คือ การทำหน้าที่ของครูที่ดี ทำงานอย่างมีเมตตาธรรม ความเที่ยงธรรม ความทุ่มเท และความเสียสละ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกด้วยสำนึกอยู่เสมอว่าพระองค์ยังประทับอยู่กับคนไทย ในหลวงท่านไม่เคยจากพวกเราไปไหน ตราบใดที่พวกเรายังระลึกถึงท่าน ดำเนินชีวิตมุ่งมั่นในการทำความดี โดยมีปณิธานมุ่งมั่นในการยึดนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งนี้เป็นเครื่องบอกว่า “พระองค์ยังคงอยู่กับคนไทยและประเทศไทยตลอดไป”

               ​​ธ เสด็จสู่สวรรค์เวียนบรรจบ​หนึ่งปีครบลูกโหยไห้อาลัยหา

               ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเมตตา​ลูกวันทาน้อมนำมาทำตาม

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

​น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

ข้าพระพุทธเจ้า นางทิพย์วรรณ วงษา

ครูโรงเรียนพานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี

  +++++

 

“ขอเป็นลูกที่ดีของพ่อ”

               ​ข้าพเจ้าเป็นเด็กต่างจังหวัด บ้านอยู่จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่จำความได้ก็มักจะได้ยินเรื่องโครงการพระราชดำริต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะในจังหวัดเพชรบุรี เช่น โครงการพระราชประสงค์หุบกระพง โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการอื่นๆ อีกมากมาย ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิด และรักพระองค์ท่าน เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน    ในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ชาวไทยต้องเศร้าโศกเสียใจ เมื่อเวลาหนึ่งทุ่มตรง การประกาศอย่างเป็นทางการก็มาถึง น้ำตาที่กลั้นไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย ก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย เป็นความเศร้าเสียใจจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง แม้จะทำใจไว้ว่าเป็นธรรมดาในวัฏสงสาร แต่ก็ไม่สามารถห้ามความเศร้าเสียใจได้

               ข้าพเจ้าโชคดีที่มีโอกาสเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระองค์ท่าน 2 ครั้ง ข้าพเจ้าขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ และตั้งปณิธานในการประพฤติตนเป็นคนดี เป็นลูกที่ดีของพ่อ และนำคำสอนของพ่อมาใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวณัฐศรัณย์ วรรัตน์ปัญญา

อายุ 47 ปี

อาชีพรับจ้าง

+++++

“ทรงทำให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นให้สัมผัส”

 

แสนโชคดี ที่เกิดมา ได้พบเห็น

พระองค์เป็น แบบอย่าง ที่สร้างสรรค์

ภาพที่เห็น พระองค์ทรง งานทุกวัน

ทรงบากบั่น เสด็จไป ใกล้ประชา

ทรงเป็นพ่อ เอาใจใส่ ไม่เหินห่าง

ทุกเส้นทาง รู้สุขทุกข์ ทุกทิศา

แผนที่ใด ในโลกนี้ ที่มีมา

ยังไม่เท่า ของราชา ประเทศไทย

 

ทรงสละ ความสุข ส่วนพระองค์

หมายธำรง พระเมตตา อันผ่องใส

พระเสโท ที่หลั่งริน แผ่นดินไทย

หล่อเลี้ยงใจ เลี้ยงชีวา ประชาชน

 

ทรงเป็นเอก องค์กษัตริย์ พัฒนา

ที่โลกา ประจักษ์แจ้ง ทุกแห่งหน

ภูมิใจหนอ เป็นลูกพ่อ ภูมิพล

พ่อที่คน ทั่วหล้า สาธุการ

 

จะจดจำ ที่พ่อทำ นำสืบสร้าง

ทำตามอย่าง ทางประเสริฐ ให้เกิดผล

ลูกรักพ่อ เพราะพ่อรัก ประชาชน

และพ่อทำ เพื่อทุกคน ใช่ตนเอง

 

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

ข้าพระพุทธเจ้า นายอุดม สุขทอง

ลูกกตัญญูแห่งชาติ พ.ศ. 2547

เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ.2549

ผู้คุมดีเด่นกรมราชทัณฑ์ พ.ศ.2558

 

++++++

“พระผู้ให้ … ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย”

               ท้องฟ้าสีเทาหม่นมัว หมอกหนาปกคลุมไปถ้วนทั่ว อาทิตย์อับแสงตลอดวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ค่ำวันนั้นฉันนั่งพับเพียบลงบนพื้น ก้มลงกราบภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 บนหน้าจอโทรทัศน์ น้ำตาแห่งความโทมนัสไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ร้องไห้ปานประหนึ่งจะขาดใจ มิได้แตกต่างจากความโศกเศร้าอาดูรของดวงใจชาวไทยนับล้านดวงหลังทราบข่าวการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างเป็นทางการ

               “พระองค์เสด็จแล้ว พระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักสวรรคตแล้ว”

               ภาพประทับใจในอดีตหลายภาพผุดขึ้นมาในความทรงจำ เป็นภาพหลากหลายรูปแบบที่ไม่สามารถหาถ้อยคำใดมาอธิบายได้

               …ในวัยเด็ก ฉันเห็นภาพในหลวงเสด็จฯ ไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร พบปะราษฎรที่ยากไร้ ด้อยโอกาส พระหัตถ์ข้างหนึ่งมักมีแผนที่อยู่เสมอ พระศอสะพายกล้อง เป็นภาพที่เจนตาของฉันนักหนา ในบางโอกาสพระองค์ก็ประทับลงบนพื้นดิน พูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง

               ...ภาพในหลวงพระราชทานสัมภาษณ์นักข่าวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษในยุคที่ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังเข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทย มีใจความประหนึ่งว่า “ฉันไม่ได้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ฉันต่อสู้กับความหิวโหย ความอดอยากยากไร้ของประชาชนในประเทศของฉัน”

               ...ภาพในหลวงนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นห้องทำงานส่วนพระองค์ เป็นห้องโล่ง ตรงพื้นกลางห้องเป็นแผนที่ภูมิประเทศของประเทศไทยที่ทรงนำมาตัดแปะเรียงต่อกัน เขียนข้อความและสัญลักษณ์ต่างๆ บนแผนที่ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง รอบห้องมีวิทยุสื่อสารแบบต่างๆ เพื่อรับฟังข่าวสารเหตุการณ์จากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ หากเกิดภัยพิบัติจะได้ให้คำแนะนำช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

               ...ภาพในหลวงเสด็จฯ เยี่ยมสมเด็จย่า พระมารดาอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ในคราวที่สมเด็จย่าประทับรักษาพระอาการประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ท่านทรงสูทสีเหลือง โอบกอด และพูดคุยกับสมเด็จย่าประสาแม่ลูกอย่างรักใคร่สุดจะบรรยาย

               ...ภาพความทรงจำในช่วงหลัง เป็นภาพในหลวงเสด็จฯ มาประทับรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช ฉันเพิ่งทราบในภายหลังว่าพระองค์มีห้องทรงงานในโรงพยาบาลด้วย ฉันเชื่อมั่นเสมอมาว่าพระองค์จะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี และหมอไทยก็เก่งมาก ในช่วงนั้นหากมีข่าวว่าพระองค์เสด็จฯ ออกมาจากห้องประทับเพื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ เช่น ไปดูแม่น้ำเจ้าพระยาที่เฉลียง ไปซื้อของที่โกลเด้นเพลส ฉันจะดีใจมาก น้ำตารื้นทีเดียว แต่แล้วในที่สุดก็ถึงวันที่พระองค์สวรรคต ...จากคนไทยไปตลอดกาล

               หลังวันสวรรคต ฉันเห็นภาพประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ หลากหลายสาขาอาชีพและชาติพันธุ์ ทั้งยากดีมีจน เข้าแถวเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนเพื่อเข้ากราบถวายบังคมลาพระบรมศพ ณ พระบรมมหาราชวัง ในความทุกข์ระทมและน้ำตาแห่งความอาลัย ฉันเห็นผู้คนจำนวนมากหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่กัน บ้างเป็นจิตอาสา นำอาหาร น้ำดื่ม ยาดม กระดาษทิชชู่ ข้าวของจิปาถะมาเดินแจก บ้างก็นำรถยนต์และจักรยานยนต์มาบริการฟรีรับ-ส่งผู้โดยสาร บ้างก็เดินเก็บขยะรอบสถานที่ ต่างเต็มใจและตั้งใจมาโดยมิได้ร้องขอ ฉันรู้สึกปีติทั้งน้ำตา ทุกคนมาในฐานะ “ผู้ให้”

               บัดนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่าเหตุใด “ในหลวง รัชกาลที่ 9” จึงทุ่มเทพระวรกายของพระองค์ตลอดรัชสมัย ทรงประกอบพระราชกรณียกิจมากมายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ …ก็เพราะด้วยความรัก ความเมตตาที่มีต่อประชาชนจึงนำไปสู่การ “ให้”

               ในหลวง “ให้” โดยไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนา ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ

               ในหลวง “ให้” เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้มีความสุข… ยิ่ง “ให้” ยิ่ง “เป็นสุข”

               ความสุขของในหลวง คือ “การให้” นั่นเอง

               “พระผู้ให้ … ในหลวงรัชกาลที่ 9” จะอยู่ในใจของฉันและปวงชนชาวไทยตลอดไป

 

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

รศ.ดร.ศิริวิไล ธีระโรจนารัตน์

หัวหน้าภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 +++++

 

หน้าที่ (ลูก) ตามคำพ่อสอน .....

               คงเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คนที่จะทำใจรับได้ และผ่านพ้นไปให้ได้ เพราะนับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่คนไทยนับล้านดวงใจเหมือนรู้สึกเจียนตายไปพร้อมกัน นับแต่ได้รับข่าวว่า ...พ่อจากเราไป... เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ซึ่งหากมองในความเป็นจริง วันนี้ต้องมีสักวันหนึ่ง แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เรากลับไม่พร้อมที่จะรับ และคิดเสมอว่าขอให้เป็นเพียงฝันไป

               ในส่วนตัวของ “ลูก” คนนี้ นับแต่เฝ้าติดตามข่าวในช่วงที่ทรงพระประชวร ก็ได้แต่เฝ้าภาวนา วอนขอพรจากฟ้า ขอให้ “พ่อ” อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกๆ ต่อไป จนวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ทราบข่าวการสวรรคต ในฐานะลูกคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวของผงธุลีบนแผ่นดินนี้ แต่ด้วยใจที่รักและเทิดทูน จึงเดินทางจากเกาะสมุย สู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เที่ยวเรือเฟอร์รี่เที่ยวแรกเวลา 05.00 น. วันที่ 14 ตุลาคม 2559 เพื่อให้ทันขบวนเคลื่อนพระบรมศพ

               สุดท้ายก็ได้เข้าไปยังพื้นที่เบียดเสียดผู้คนจนถึงบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ และเป็นจุดที่เห็นขบวนได้ชัดเจน ความรู้สึกแรกคิดแค่อยากเห็นในสิ่งที่ตั้งใจ แต่เมื่อขบวนเคลื่อนมา ตอนนั้นตอบใจตัวเองได้เลยว่า รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทรุดกายลงร้องไห้แบบเจียนตาย..เป็นแบบนี้เองหรือ

               ในวันต่อมาได้เดินทางออกจากที่พักช่วงประมาณเวลา 06.00 น.วันที่ 15 ตุลาคม มีความหวังที่จะได้เข้าถวายสักการะ จนสุดท้ายเหตุการณ์ในวันดังกล่าวในขณะที่นั่งเฝ้ารอความหวังที่จะได้เข้าถวายสักการะหน้าประตูวิเศษไชยศรี ทุกอย่างมีเหตุดลให้เกิดเพราะ “พ่อ” บนฟ้าเห็นในสิ่งที่ลูกตั้งมั่น หรือเพียงเพราะแค่ความบังเอิญ เหตุการณ์ในวันนั้นได้ก่อเกิดภาพ “หยาดเหงื่อของพ่อ และหยดน้ำตาของลูก” โดยมาทราบภายหลังจากที่ภาพดังกล่าวได้ถูกบันทึกและเผยแพร่จากช่างภาพ วสันต์ วนิชชากร เป็นภาพที่บอกเล่าแทนความรู้สึก แทนใจของใครต่อใครหลายคน

               นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลูกคนนี้ให้คำมั่นสัญญา ที่จะเป็นคนดี เพราะเราได้ซึมซับแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่การสอนสั่ง หากเรานึกย้อนกลับไป จะเห็นภาพในความทรงจำจากการทำแบบอย่างให้เห็นเสมอ ทรงทำแบบอย่างในเรื่องของการให้ ความเพียร ความรักกตัญญู และการทำหน้าที่

               มาถึง ณ วันนี้ แม้ยังทำใจรับไม่ได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น วันที่เราสูญสิ้น แบบไม่มีวันหวนกลับ ทำได้แต่เพียงว่า ขอสัญญาว่าจะทำตามหน้าที่ จะเป็นคนดีของสังคม จะเป็นเจ้านายที่ดีของลูกน้อง จะเป็นลูกที่ดีและกตัญญูต่อบุพการี จะเป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 จะขอเดินทางจากสมุยอีกครั้ง ขึ้นไปยังกรุงเทพฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดีอีกครั้ง

 

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

รักและเทิดทูนไว้เหนือเกล้า

นางมาลิน โกไศยกานนท์

+++++

 

ความทรงจำ...พ่อสานฝันเป็นจริง

 

                 "ผมกับเพื่อนๆ ได้ต่อสู้เพื่อสิทธิของเด็ก แต่ก็ไม่ได้รับความยุติธรรมจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดต้องพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาล 9 ผมรับทราบว่าในหลวงทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ซึ่งผมเพิ่งได้รับทราบไม่กี่วันมานี้ว่า ช่วง​เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ขณะที่ในหลวงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช มีรับสั่งให้คณะองคมนตรีเข้าเฝ้าฯ และรับสั่งว่า “ฉันจะตั้งกองทุนการศึกษา ให้เอาเงินฉันไปใช้ ไปทำอย่างไรก็ได้ เป้าหมายคือให้โรงเรียนสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง” แล้วมอบหมายให้องคมนตรีที่ยังแข็งแรง ออกไปหาโรงเรียนตัวอย่างเพื่อให้รู้ถึงปัญหา ที่สำคัญคือให้ทำเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ไม่ต้องแจ้งผ่านทางหน่วยงานใดๆ ให้ไปอย่างผู้ใหญ่ใจดี ไปรถคันเดียว เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและได้ข้อมูลที่แท้จริง

                 หลังจากนั้นคณะองคมนตรีจึงสรรหาโรงเรียนเข้าโครงการ ‘โรงเรียนคุณธรรมจริยธรรม’ ได้ประมาณ 155 โรงเรียนทั่วประเทศ จึงมีรับสั่งว่า ทรงมีเงินที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายมามาก อยากจะนำคืนให้กลับประชาชน แต่ขอให้ทำในสิ่งที่ประหยัด ใช้วัสดุในพื้นที่ แต่ให้คงทนแข็งแรง ​ประการแรกที่โปรดเกล้าฯ ให้ทำคือบ้านพักครู ประการที่ 2 คือปรับปรุงห้องน้ำครูและนักเรียน และประการต่อมาคือ ห้องเรียนที่ชำรุด หลังคารั่ว โต๊ะเรียน เก้าอี้ โดยให้มารับเงินที่พระองค์ไปใช้

                 ท้ายที่สุด ในหลวงรับสั่งให้เลือกเด็กโรงเรียนละ 2 คน ทรงอยากให้ส่งให้เขาเรียนจนจบเท่าที่จะเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นปริญญาตรี-โท-เอก ก็แล้วแต่เขา แต่ขอให้นำความจากพระองค์ท่านไปบอกเด็กว่า มีพระราชประสงค์ที่จะเห็น ‘เด็กที่เรียนดีนั้นเป็นคนดีด้วย’

                 ช่วงแรกในหลวงได้พระราชทานเงินจำนวน 200 ล้านบาท พร้อมกับรับสั่งว่า “หมดเมื่อไรก็บอก” ช่วงปีหลังๆ องคมนตรีก็ไม่กล้าไปกราบทูลว่าเงินหมดแล้ว เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบก็มีรับสั่งภายหลังว่า อย่าไปกวนในหลวงเลย ถ้าเงินหมดเมื่อใดให้มากราบทูลพระองค์ ซึ่งก็พระราชทานมาเป็นระยะๆ

                 นี่คือสิ่งที่ในหลวงทรงงานแม้ทรงพระประชวร พระองค์ไม่เคยทิ้งประชาชน แม้พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ผมจะเดินตามรอยพ่อเพื่อสานต่องานของพ่อ เพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน

 

“คำสัญญา” จากใจลูก ถึง “พ่อ”

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ข้าพระพุทธเจ้า คมเทพ ประภายนต์

อดีตนายกสมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติ

อุปนายกสมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติ

+++++