"บิ๊กตู่"ประกาศก้องบุรีรัมย์"แผ่นดินนี้เรียกร้องผม"
"บิ๊กตู่" ประกาศต่อหน้าชาวบุรีรัมย์กว่า3หมื่นคน แผ่นดินนี้เรียกร้องผม ต้องทดแทนบุญคุณ "เนวิน-อนุทิน"ต้อนรับ ยันไร้การเมือง 'แม้ว' โดนอีกคดีทุจริตฟื้นฟูทีพีไอ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 7 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และคณะรัฐมนตรีเดินทางมาที่่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพบปะกับประชาชนที่สนามช้างอารีนา ในโอกาสประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคมนี้ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักเมื่อประชาชนชาวบุรีรัมย์ประมาณ 3 หมื่นคน ให้การต้อนรับ ส่งเสียงเชียร์ “ลุงตู่สู้สู้” ลั่นสนามช้างอารีนา โดยรอบสนามมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรืออีโอดี เดินตรวจตราดูแลความเรียบร้อยรอบสนาม ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดชุดนอกเครื่องแบบปะปนกับประชาชนที่อยู่บนอัฒจันทร์ด้วย
“บิ๊กตู่”ลงบุรีรัมย์-เนวินต้อนรับ
มีรายงานว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นางกรุณา ชิดชอบ ภริยา และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ที่มารอต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เตรียมความพร้อมกับประชาชนโดยขอให้ทุกคนกล่าวเชียร์ว่า "ลุงตู่สู้สู้” โดยนายเนวินกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอให้อดทนต่อแสงแดดและความร้อน และเมื่อเวลาที่นายกฯ เดินทางมาถึง และขอให้ส่งเสียงดังๆ เพื่อให้นายกฯ ลุงตู่อนุมัติงบประมาณลงพื้นที่บุรีรัมย์ให้ได้หมื่นล้านบาท ขอให้ร่วมกันให้กำลังใจ
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเรื่องการเมือง นายเนวินปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่า “วันนี้ไม่มีวาระเรื่องการเมือง มีแต่วาระประชาชน ไม่มีการเมือง ไม่ต้องถามอะไร”
ส่งเสียง“ลุงตู่สู้สู้” ดังลั่นสนาม
หลังจากโบกมือทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับอย่างอบอุ่นนั้น นายกฯ ได้มอบเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินพื้นที่ป่าใน จ.บุรีรัมย์ ให้แก่ตัวแทนผู้นำชุมชน และกล่าวกับประชาชนตอนหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกตื่นเต้นและดีใจ ได้เห็นความเจริญของจ.บุรีรัมย์ เป็นไปในทิศทางที่ดี และยินดีที่ได้เห็นความรักของพวกเราชาวบุรีรัมย์ ที่คนบุรีรัมย์ไม่มีการทะเลาะขัดแย้ง แบ่งสีเสื้อกัน เราจะต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ตลอดเวลาที่เป็นนายกฯ มา 4 ปี ไม่เคยเห็นความขัดแย้งในบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนและคนทั้งประเทศต้องการ ขอให้รักษาเรื่องเหล่านี้ไว้ ร่วมมือกันทำทุกอย่าง
นายกฯโวเทงบ2หมื่นล้านอีสาน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ต้องยึดมั่นเพื่อประเทศ ใครจะมาแบ่งแยกไม่ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญไทยต้องเป็นหนึ่งเดียว แบ่งแยกไม่ได้ทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ในวันที่ 8 พฤษภาคม จะประชุมครม.สัญจร มีเรื่องให้พิจารณากว่า 200 โครงการ รวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจะอนุมัติในบางส่วนตามโครงการเร่งรัด และวันนี้ไม่ได้มาเรื่องการเมืองอย่างที่หลายคนพูด ไม่มีอะไรกับใครทั้งสิ้น รักทุกคน ต้องการทำให้ประเทศเข้มแข็ง สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรที่จะทำให้บุรีรัมย์ไม่ใช่เมืองทางผ่าน จึงคิดว่าการท่องเที่ยวจะมาช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น โดยตนสั่งการให้มีการจัดการท่องเที่ยวทั้งปีไม่ใช่ปล่อยให้โรงแรมต่างๆ มีห้องว่างอยู่จำนวนมาก เมื่อไม่มีการแข่งขันกีฬาใด หรือไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ยืนยันว่าไม่ใช่เอาเงินไปแจกใครอย่างที่กล่าวหากัน แต่เป็นโครงการที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงนี้เป็นเวลาใกล้เลือกตั้ง จึงถูกกล่าวหา
ย้ำมาบุรีรัมย์ไม่เกี่ยวการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการทำงานจากนี้ต่อไปจะเป็นอะไรเป็นเรื่องของอนาคต ยืนยันว่าการมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรือต้องการให้ประชาชนมารัก เพราะเป็นเรื่องที่พูดยาก ใครจะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่ขอให้ไม่เกลียดกันก็พอ ที่ผ่านมาถือว่าเข้ามาทำให้แผ่นดินของเรา ทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ซึ่งรัชกาลที่ 10 ถือว่าเป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูป พระองค์มีรับสั่งให้สืบสาน รักษาต่อยอด สืบเนื่องจากรัชกาลที่ 9 ที่ทรงริเริ่มเรื่องต่างๆ มามากมาย ประชาชนต้องช่วยกันตรงนี้
แย้มทำให้วางใจปลดคำสั่งคสช.
“ขอให้ทุกคนรักกัน เพราะบ้านเมืองจะอยู่ได้เพราะคนไทยทั้งประเทศ คนอยู่ต่างประเทศปล่อยเขาไป และรัฐบาลนี้ไม่ได้ปิดกั้นใคร ยังใช้กฎหมายปกติในการดูแลและมีคำสั่งคสช. บ้านเมืองจึงสงบเรียบร้อย ถ้าไม่มีคำสั่งเหล่านี้จะทำอย่างไร ทั้งนี้หากประชาชนปฏิบัติตัวและทำให้วางใจให้ได้ว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อยได้ จึงจะยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ไป”
ประกาศ‘แผ่นดินนี้เรียกร้องผม’
มีรายงานว่าหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ปราศรัยไปได้ประมาณ 30 นาที ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้นายกฯ ต้องหยุดพักถอนหายใจ แล้วบ่นเสียงดังๆ ว่า “เอ้ย...เหนื่อยนะเนี่ย แต่บ่นไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นนายกฯ ขี้บ่น บางทีไม่ได้บ่นนะ แต่พูดให้ฟังว่าผมไม่เห็นว่าผมจะได้อะไรขึ้นมา เพียงแต่ว่าผมตั้งใจจะทำให้พี่น้องประชาชน แต่กลายเป็นว่าผมมาเรียกร้องบุญคุณ แต่ผมไม่จำเป็นต้องมาเรียกร้องกับท่าน เพราะคนเรียกร้องผมมีอยู่แล้ว ใครรู้มั้ย...แผ่นดินนี้เรียกร้องผม แผ่นดินที่เหยียบทุกวันนี้เรียกร้องให้ผมทำให้เขา บรรพบุรุษของท่านรักษามาเท่าไหร่แล้ว ทหารตำรวจเจ็บตายไปเท่าไหร่แล้ว สู้รบมาตลอดชายแดน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เราต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างคนดีขึ้นในสังคม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั้งสนามฟุตบอล
จากนั้น นายกฯ ลงจากโพเดียมเดินไปทักทายประชาชนบนที่นั่งอัฒจันทร์ โดยมีเสียงตะโกนให้กำลังใจ “บิ๊กตู่สู้ๆ” ดังกึกก้อง ก่อนคณะนายกฯ จะเดินทางไปตรวจความพร้อมสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ รายการโมโตจีีพี ในระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคมนี้
อนุทินยันไม่ได้เกณฑ์คนรับ
ด้านนายอนุทิน กล่าวระหว่างต้อนรับนายกฯ ว่า ประชาชนที่เดินทางมาต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเกินความจุของสนามกว่า 3 หมื่นคน ซึ่งไม่ได้เป็นการเกณฑ์มาแต่อย่างใด ต่างคนต่างมา ตามที่ได้รับการประชาสัมพันธ์ เพราะ จ.บุรีรัมย์ ต้องไม่ธรรมดา เมื่อคณะรัฐมนตรีเดินทางมาถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องต้อนรับตามความเหมาะสม และการที่เดินทางมาวันนี้ไม่มีเรื่องการเมือง แต่มาอำนวยความสะดวกในฐานะคนที่อยู่ในพื้นที่ และยังไม่ได้พูดคุยหรือพบเจอใครทั้งสิ้น แม้แต่นายกฯ
“วันนี้ไม่มีใครเอาเรื่องการเมืองมาในสนามแห่งนี้ ใครเอามาก็สลบ เพราะยังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องการเมือง วันนี้เป็นเรื่องของประชาชน ผมก็เดินทางมาดู เผื่อจะต้องหาเสียงหรือปราศรัยใหญ่แล้วมาจัดที่สนามแห่งนี้ ถือว่ามาสังเกตการณ์” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามถึงข้อสังเกตว่า ชาวบุรีรัมย์สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลแล้วต่อไปจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องถามประชาชนแต่ละคน ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยและคนของพรรค ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะพูดอะไร เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีส.ส.กี่คน และสมาชิกจะทนพลังดูดได้แค่ไหน ซึ่งจะไม่มีวันพูด ไม่มีวันคิด ไม่มีวันทำอะไรโดยที่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง ทุกอย่างจะชัดเจนเมื่อเห็นจำนวนส.ส.อยู่ในมือ ต้องรอให้มีการเลือกตั้งให้เรียบร้อยก่อน ไปตกลงในตอนนี้โดยที่เราไม่รู้เรื่องทำไม่ได้ ยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยต้องขายนโยบาย ไม่ใช่ขายทิศทาง
เผยใครดูดระวังติดคอตาย
เมื่อถามถึงกระแสข่าวคสช.ดูดสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวินให้ไปร่วมงานกับรัฐบาลเช่นเดียวกับนายสนธยา คุณปลื้ม นายอนุทิน กล่าวย้อนว่า “ใครดูด จะไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ วันนี้เราต้อนรับครม.ในฐานะที่อยู่ในพื้นที่ และพรรคภูมิใจไทยเพิ่งมีอายุ 10 ปี ผมเป็นหัวหน้าพรรคมา 5 ปี จะให้ใครมาดูดใครง่ายๆ ได้อย่างไร ใครดูดติดคอตายแน่นอน ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งไปพูดอะไร”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสัมภาษณ์นายอนุทิน นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ได้เดินผ่านมาพอดี ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามถึงความคืบหน้าการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกสมัยหลังเลือกตั้ง นายอุตตมกล่าวปฏิเสธในทันทีว่า “ไม่รู้ๆ”
นายกฯเยือนจังหวัดสุรินทร์
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ และครม. เดินทางไปยังบ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ เพื่อเยี่ยมชมหมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง และบ้านจันทร์โสมา ที่มีการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าไหมชั้นสูง พร้อมจะเยี่ยมชมผลงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และสหกรณ์อินทรีย์ทัพไทย จำกัด ของบ้านทัพไทย ต.ทมอ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โดยมีข้าราชการ ประชาชน และนักเรียนในพื้นที่ รวมประมาณ 4,000 คน รอต้อนรับ
เมื่อนายกฯ และคณะมาถึง นายกิติเมศวร์ รุ่งธนิเกียรติ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ ได้นำช้างแฝดเพศผู้คู่แรกของโลก ชื่อ “พลายทองคำ-พลายทองแท่ง” จากศูนย์คชสาร หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง จ.สุรินทร์ มอบกระเช้าดอกไม้แก่นายกรัฐมนตรี ขณะที่นายกรัฐมนตรีให้กล้วยน้ำว้าและแตงกวาเป็นอาหาร ก่อนจะยืนชมการแสดงของช้างแฝดคู่นี้ที่หันงวงเข้าหากันทำสัญลักษณ์รูปหัวใจ และใช้งวงควงฮูลาฮูบ
ต่อมา คณะนักเรียนจากโรงเรียนบ้านท่าสว่างร่วมกันร้องเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งขึ้นเป็นเพลงล่าสุด โดย พล.อ.ประยุทธ์เดินทักทายประชาชนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีประชาชนมาขอถ่ายรูปและนำของมามอบให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ อาทิ พระเครื่อง ผ้าขาวม้า ฯลฯ
ร่วมฟ้อนรำชาวบ้านทอผ้าไหม
ต่อจากนั้น นายกฯ ได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านท่าสว่าง และการจัดแสดงสินค้าโอท็อป โดยนายกฯ ได้ชมการทอผ้าไหม ซึ่งหมู่บ้านนี้ได้อนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าไหมดั้งเดิม และได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตผ้าไหมที่ระลึกให้แก่ผู้นำต่างๆ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุมเอเปก 2003
ทั้งนี้ นายกฯ ได้ร่วมตีกลองพร้อมร่วมฟ้อนรำกับชาวบ้าน รวมถึงยังทดลองสีข้าวและตำข้าวด้วยมือ พร้อมลงชื่อและเขียนข้อความเป็นที่ระลึกลงบนผ้าไหมพื้นเมือง ว่า “ด้วยรักและห่วงใย” และได้ชิมข้าวพันธุ์ต่างๆ ของ จ.สุรินทร์ อาทิ ข้าวดอกมะลิ 105, ข้าวปกาอำปึล, ข้าว 10 พันธ์ุ และข้าวเหนียวดำ อีกด้วย
“บิ๊กป้อม”ย้ำตร.บุรีรัมย์ห้ามรับส่วย
วันเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม พร้อมคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติงานของทหารและตำรวจในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ โดยได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของมณฑลทหารบกที่ 26 (มทบ.26) ในโครงการทหารพันธุ์ดีซึ่งผลิตทหารที่จะปลดประจำการไปทำหน้าที่นำการเกษตรผสมผสานแบบครบวงจรและจัดทำแหล่งเรียนรู้ชุมชนในหมู่บ้านท้องถิ่นของตน ต่อจากนั้นได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติงานของตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ และ สภ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
พล.อ.ประวิตรเน้นย้ำนโยบายว่า ระหว่างการปฏิรูปองค์กรและระบบงานตำรวจนั้น ให้สถานีตำรวจต้องสัมผัสประชาชนและรับผิดชอบพื้นที่ ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนในงานบริการ งานอำนวยความยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย โดยสถานีตำรวจต้องสะอาด มีระเบียบและเหมาะสม เจ้าหน้าที่ต้องมีระเบียบวินัย สุภาพและมีจิตสำนึกให้การบริการประชาชนและอำนวยความยุติธรรม โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย ถือเป็นหน้าที่ต้องทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและเสมอภาค โดยไม่เลือกปฏิบัติและแสวงประโยชน์ ทั้งนี้ห้ามเรียกรับส่วยโดยเด็ดขาด
‘มาร์ค’ อัดผลงาน4ปีรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองว่า ขณะนี้คสช.ยึดอำนาจรัฐประหารเกือบครบ 4 ปีแล้ว ถ้าถามว่าคุ้มค่าหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าใช้คำว่า “คุ้ม” คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เพราะคำว่าคุ้มต้องใช้ในลักษณะการลงทุน เพื่อหวังผลตอบแทนกลับมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเกือบ 4 ปีที่แล้ว ผู้ก่อรัฐประหารอ้างความวุ่นวาย สุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้า แต่วันนี้โจทย์เปลี่ยน คือ รัฐประหารยาว จึงประเมินยาก เนื่องจากประชาชนหวังว่าประเทศจะมีอะไรดีขึ้น แต่ปรากฏว่าผลการปฏิรูปกว่า 4 ปี ขยับน้อยมาก
ชี้ปชช.ไม่คาดหวังปฏิรูปแล้ว
“ในบรรยากาศตอนนี้ผมบอกได้เลยว่า คนที่รอคอยการปฏิรูปไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว ส่วนการปฏิรูปการเมือง เขาบอกว่าจะต้องทำการเมืองให้ดีกว่าเดิม ก็ต้องนึกถึงการเมืองที่สุจริต ลดความขัดแย้ง ทำให้ประเทศเดินหน้า แก้ปัญหาประชาชนได้ แต่จากรัฐธรรมนูญและพฤติกรรมในขณะนี้ผมมองว่าประชาชนไม่ได้คิดว่าจะดีขึ้น รวมทั้งรัฐบาลที่ขยับมาขอเป็นผู้เล่นทางการเมืองด้วย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า การขอเวลาในการทำงานของรัฐบาล ตรรกะนี้จะใช้ได้ ถ้าสังคมมองเห็นว่าคนขอเวลาได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่มีความชัดเจน ทำให้เห็นว่าพยายามทำให้สำเร็จ แต่มีอุปสรรค ซึ่งไม่ได้มองว่าขณะนี้เป็นอย่างนั้น แต่กลับมองว่าสิ่งที่เคยพูดว่าจะทำ 4 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นว่ายังไม่เรียบร้อย ผู้มีอำนาจก็ขอที่จะทำไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กทำวิทยานิพนธ์ ทำแล้วส่งงานไม่ทัน ก็มาขอยืดเวลา ซึ่งอาจารย์ก็แบ่งประเภทเด็ก เด็กบางคนทำเรื่องยากเกินไปจึงต้องให้เวลาถึงจะทำสำเร็จ แต่เด็กอีกประเภท ประเมินแล้วว่าต่อเวลาไปก็ทำไม่สำเร็จ ซึ่งคิดว่าอารมณ์ของคนทั่วไปในขณะนี้จะใกล้เคียงกับเด็กคนหลังมากกว่าคนแรก
ปชป.เย้ยพลังดูดทำพรรคดีขึ้น
วันเดียวกัน นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และกิจกรรมพิเศษภาคอีสาน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการวิจารณ์ถึงพลังดูดส.ส.ของรัฐบาล ว่า เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และพรรคไม่ประมาทในเรื่องนี้ แต่ในทางกลับกันมีส่วนที่เป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์ในการคัดกรองผู้สมัครส.ส.ของพรรคที่อุดมการณ์และมีจุดยืนตามเจตจำนงก่อตั้งพรรคมา 72 ปี โดยในส่วนของภาคอีสานมีกระแสที่ตรงกันข้ามกับพลังดูด เพราะขณะนี้มีผู้สมัครหน้าใหม่ที่มีคุณภาพจำนวนมาก และมีอดีตส.ส.จนถึงระดับอดีตรัฐมนตรีจากหลายพรรคที่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า ได้แวะเวียนเข้ามาแลกเปลี่ยนปรึกษาหารือกับพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน รู้สึกกังวลว่าจะหาพื้นที่ให้ผู้ที่เสนอตัวเข้ามาลงสมัครได้ไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ต้องการลงสมัคร ส.ส. แต่เสนอตัวเข้ามาช่วยพรรคทำกิจกรรมต่างๆ จำนวนมาก
“รองหัวหน้าพรรคภาคอีสานยังประเมินว่า จากการบริหารงานในรูปแบบประชาธิปัตย์ยุคใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน คาดว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาธิปัตย์จะได้จำนวนส.ส.เขตในภาคอีสานเพิ่มขึ้น 100-200 เปอร์เซ็นต์ หรือเกิน 20 คน จากเดิมที่พรรคมีส.ส.เขต ภาคอีสาน 4 คน ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเสนอนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง” นายภูมิสรรค์ กล่าว
ค้านใช้ม.44งดเว้นไพรมารีโหวต
ด้านนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงข้อเสนอของฝ่ายการเมืองที่ให้ใช้มาตรา 44 งดเว้นการทำไพรมารีโหวตในการเลือกตั้งครั้งถัดไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่า จะให้ยกเลิกไพรมารีโหวตนั้นคงทำไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ของแต่ละพรรคการเมืองต้องมีกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม หากจะใช้มาตรา 44 งดเว้นไพรมารีโหวตในการเลือกตั้งครั้งถัดไปจะต้องมีกลไกอื่นที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมแทน
“ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกไพรมารีโหวตโดยไม่มีกลไกการมีส่วนร่วมมาแทน เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ หากทำเช่นนั้นแล้วเกิดมีมือดีไปร้องศาลภายหลังว่าขัดรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งก็จะเป็นโมฆะทันที แต่ถ้าใช้มาตรา 44 ยกเลิกแล้วมีกลไกอื่นมาแทน เช่น ให้ใช้ที่ประชุมสมาชิกในการกำหนดผู้สมัครก็ยังถือว่าตอบเจตนารมน์รัฐธรรมนูญ” นายชาติชาย กล่าว
‘แม้ว’โดนอีกคดีทุจริตฟื้นฟู“ทีพีไอ”
วันเดียวกัน นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้พนักงานคดี สำนักงานป.ป.ช. ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเมื่อปี 2546 นายทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบและยินยอมให้กระทรวงการคลัง เข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทยจำกัด (ทีพีไอ) โดยมีรายชื่อคณะผู้บริหารแผนฯ ตามที่นายทักษิณเสนอ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำทั้งที่รู้อยู่ว่า กระทรวงการคลังซึ่งเป็นส่วนราชการไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนกิจการหรือจัดการทรัพย์สินให้แก่บริษัทเอกชน จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลังและเสียหายต่อระบบราชการ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยมีมติชี้มูลความผิดนายทักษิณไปแล้วเมื่อ พ.ศ.2553 และได้ส่งอัยการสูงสุดดำเนินคดี รวมไปถึงแต่งตั้งคณะทำงานผู้แทนฝ่ายอัยการสูงสุดและฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานร่วมกัน แต่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการฟ้องร้องคดีได้ ดังนั้นในวันนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงดำเนินการยื่นฟ้องเองต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขดำที่ อม. 40/2561
แม้ว-ปูพาหลานเที่ยวที่สิงคโปร์
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ โพสต์คลิปผ่านไอจีสตอรี่ เป็นบรรยากาศนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พักผ่อนกับครอบครัวที่ประเทศสิงคโปร์ โดยนายทักษิณได้พาหลานสาวทั้งสองคนไปเดินเที่ยว ซื้อของเล่น และรับประทานอาหาร ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นั่งเล่นหยอกล้อกับหลานๆ และพาหลานสาวสองคนไปเดินเที่ยวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินทางกลับนครดูไบในวันที่ 8 พฤษภาคม
“วัฒนา”ลั่นสู้คดีบ้านเอื้ออาทร
ที่พรรคเพื่อไทย นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยทนายความ แถลงถึงคดีโครงการบ้านเอื้ออาทรว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หลังรัฐประหารปี 2549 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เพื่อตรวจสอบโครงการดังกล่าว โดยกล่าวหาว่าออกทีโออาร์ใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ และเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการในที่ประชุม แต่การไต่สวนมิได้ยึดหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง มุ่งจะเอาผิดตน ข่มขู่พยาน โดยพยานรายใดที่ให้ความร่วมมือจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่ก็ไม่มีประเด็นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คตส.ได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเพื่อฟ้องตนกับพวกตั้งแต่กลางปี 2551 แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์จึงตั้งคณะทำงานระหว่างอัยการสูงสุดกับป.ป.ช.เพื่อไต่สวนข้อไม่สมบูรณ์ดังกล่าว จนกระทั่งป.ป.ช.ได้สรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 แต่ก็ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ จนล่าสุดป.ป.ช.ชุดปัจจุบันได้ทำหนังสือถึงตนให้ไปพบอัยการเพื่อให้อัยการนำตัวไปส่งฟ้องศาลในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ เท่ากับใช้เวลาในการไต่สวนคดีดังกล่าวนานถึง 12 ปี ทั้งที่เป็นคดีง่ายๆ ไม่มีความสลับซับซ้อน แสดงให้เห็นว่ามีธงให้ดำเนินคดีกับตน
นายวัฒนา กล่าวอีกว่า คดีนี้ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดโดยไม่แถลงข่าวถึงมติของ ป.ป.ช. และไม่ประกาศในเว็บไซต์ของป.ป.ช. ดังที่ได้ปฏิบัติกับคดีทั่วไป โดยนายณรงค์ รัฐอมฤต เจ้าของสำนวนอ้างว่าไม่ต้องการให้ตนทราบ เพราะอาจมาร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้ส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดไม่ได้ ถือว่าขัดต่อหลักนิติธรรมหรือไม่ เนื่องจากตนถูกฟ้องความผิดตามมาตรา 148 มีโทษสูงถึงประหารชีวิต จึงเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะขอความเป็นธรรม ส่วนข้อกล่าวหาว่ามีการเรียกผลประโยชน์จากผู้ประกอบการนั้น ในชั้น คตส.กล่าวหาว่าตนได้เรียกประชุมผู้ประกอบการ และเรียกผลประโยชน์ต่อหน้าที่ประชุมนั้น ต่อมา ป.ป.ช.ได้เปลี่ยนเป็นรู้เห็นเป็นใจเพราะไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่พิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับตน อย่างไรก็ตาม มั่นใจในความบริสุทธิ์และพร้อมที่จะต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ต่อไป
(ข่าวหน้า1นสพ.คมชัดลึก)