"พระปกเกล้า"ประเมิน"พปชร."กวาด 130 ที่นั่ง
"นักวิชาการพระปกเกล้า"ประเมินก๊วนส.ส.ย้ายพรรค"พปชร."ได้ประโยชน์ คาดกวาดส.ส.130 ที่นั่ง ได้อดีตส.ส.เกรดเอกว่า 50 เขต พ่วงความนิยม
27 พฤศจิกายน 2561 นายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์คมชัดลึก ถึงปรากฎการณ์การย้ายพรรคของนักการเมือง ซึ่งพบว่าในกลุ่มของพรรคพลังประชารัฐ
นายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์คมชัดลึก ถึงปรากฎการณ์การย้ายพรรคของนักการเมือง ซึ่งพบว่าในกลุ่มของพรรคพลังประชารัฐ มีอดีต ส.ส. และนักการเมืองย้ายเข้าสังกัดมากที่สุดแม้จะเป็นพรรคเกิดใหม่ ว่าเมื่อพิจารณาคุณสมบัติและเกรดของผู้สมัครที่ย้ายเข้าสังกัดเพื่อว่าจะทำให้พรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส. ประมาณ 130 ที่นั่ง โดยพิจารณาได้จากอดีต ส.ส.เขตที่ย้ายสังกัดและเป็นระดับเกรดเอ ประมาณ 50 เขต และอีก 300 เขตที่เหลือซึ่งไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนนิยมเฉลี่ยที่ 20,000 คะแนน เมื่อรวมคะแนนจากเขตที่ไม่ได้ ส.ส.ทั้งหมด จะได้เท่ากับ 6 ล้านเสียง และเมื่อนำมาหารคะแนนเฉลี่ยที่จะได้ ส.ส. 1 คน ที่จำนวน 70,000 คะแนน จะทำให้ได้จำนวนส.ส. ประมาณ 80 ที่นั่ง ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล แต่จะอยู่ยาวหรือไม่ต้องพิจารณาจากพรรคที่มาร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคอับดับ 2 – 3 ถือว่ามีอำนาจต่อรองสูง
"ผมเชื่อว่า หากพรรคพลังประชารัฐ สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นนายกฯ ที่พรรคสนับสนุน จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ อีกสมัยแน่นอน แต่หลังจากการเลือกตั้งยังมีทิศทางที่พรรคพลังประชารัฐต้องพิจารณาประกอบ คือ การจับมือกับพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีทางที่จะจัดตั้งรัฐบาลด้วยพรรคการเมืองเดียวแน่นอน อย่างน้อยต้องมี 2-3 พรรคเข้าร่วม โดยผมมองว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส. ที่พอจะดึงเข้าร่วมรัฐบาลได้ ดังนั้นคสช. อย่าทำอะไรที่หักหาญน้ำใจของทั้ง2 พรรค หากอยากสร้างพันธมิตรทางการเมืองหลังเลือกตั้ง" นายสติธร กล่าว
นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวด้วยว่าทิศทางการต่อสู้การเลือกตั้งเชื่อว่าทุกพรรคจะสู้กันแบบยิบตา ไม่มีใครยอมใคร ขณะที่พรรคเพื่อไทยที่เสียเปรียบกับระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม และแก้เกมผ่านพรรคการเมืองโดยเครือข่ายของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย
เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะเน้นการเลือกตั้งและส่งผู้สมัครในเขตที่มั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้ง ส่วนการส่งสมัครเพื่อให้ได้คะแนนที่สามารถนำมาคำนวณเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้นจะหวังผลให้เป็นแต้มเติมเต็มยาก
"ในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. 200 ที่นั่ง มีคะแนนเลือกตั้งเฉลี่ยต่อเขตที่ 5.1 หมื่นคะแนน มีคะแนนรวมทั้งประเทศ ที่ 10.5 ล้านคะแนน ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่จะได้ ส.ส.ตามระบบใหม่ ที่ 7หมื่นคะแนน หากพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.เขตแล้ว คะแนนที่แพ้เลือกตั้งจะไม่พอที่จะไปทบเพื่อหาส.ส.บัญชีรายชื่อ หมายถึงว่าแพ้แล้วแพ้เลย ดังนั้นพรรคที่แตกหน่อ คือ เป้าหมายของการเก็บคะแนนสะสมเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ และเบื้องต้นคาดว่าพรรคที่แตกหน่อได้จะคะแนนรวมและส่งให้เป็นที่นั่งในสภาประมาณ 50 ที่นั่งรวมกัน" นายสติธร กล่าว
นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ระบุด้วยว่าสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่ได้รับผลกระทบต่อการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม แม้จะมีพรรคสาขาที่เกิดจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย แต่ผลลัพท์จะไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทย ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ควรจับตาถึงกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งว่าแต่ละพรรคจะใช้วิธีการใด แต่ตนเชื่อว่าเมื่อใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว และ หมายเลขผู้สมัครของพรรคในแต่ละเขตไม่ใช่หมายเลขเดียวกัน การใช้บุคคลที่พรรคสนับสนุนเป็นนายกฯ จะเป็นกระแสที่แต่ละพรรคใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนบนบัตรเลือกตั้ง