เปิดคลัง'ของรัก'พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์
รถมาสด้าสปอร์ต เอ็มเอ็กซ์ 5 สีแดงแปร๊ดวาววับ รูปทรงโฉบเฉี่ยวสะดุดตาจอดสงบนิ่งอยู่ภายในบ้าน "ลือสมบูรณ์"
นานๆ ทีเจ้าของถึงจะสตาร์ทเครื่องยนต์กระหึ่มคำรามกึกก้อง นำออกไปโลดแล่นตามท้องถนน สาระสำคัญของรถคันนี้มากกว่าการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่เป็นเรื่องของการได้มาครอบครอง เพื่อสานฝันให้เป็นจริง...แค่นี้ก็ทำให้ พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน หรือผู้กำกับเต๋อ สุขใจแล้ว
สบายๆ สไตล์สีกากีฉบับนี้ผู้กำกับร่างเล็กใจใหญ่เปิดบ้านให้ชมคลังของรักของหวง โดยเฉพาะเจ้ารถสปอร์ตตัวกลั่นจากค่ายมาสด้าคันนี้ ที่ซื้อมาตั้งแต่ยังเป็น ผกก.3 บก.ทท.ขอนแก่น ในราคา 2.7 ล้านบาท เมื่อย้ายมารับตำแหน่ง ผกก.สน.ปทุมวัน เขาก็ควบเจ้าสปอร์ตสีแดงเพลิงเข้ามารับตำแหน่ง หลังจากนั้นก็แขวนมือหันมาใช้รถประจำตำแหน่งที่คล่องตัวกว่า นานๆ ครั้งจึงจะนำออกมาขับขี่ให้เครื่องยนต์ได้ทำงานสักครั้ง พร้อมกับวางอนาคตข้างหน้าคงตกไปอยู่ในมือของลูกชายยามเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา
"ผมเคยฝันตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าอยากมีรถแบบนี้สักคัน ครั้นจะไปซื้อคันละ 10 ล้านบาทคงไม่มีปัญญา คันนี้ 2.7 ล้านบาทคิดว่าพอผ่อนไหว ตอนแรกตั้งใจจะซื้อตอนใกล้เกษียณ ภรรยาแนะนำว่าตอนแก่ๆ เวลานั่งจะปวดหลัง พอดีผ่อนรถอีกคันหมดพอดี ภรรยาก็บอกเราอย่าเป็นหนี้อีกนะ แต่พอเจอคันนี้ก็เลยซื้อเพื่อให้ฝันเป็นจริง แล้วก็บอกกับตัวเองว่าขอเป็นหนี้ต่ออีกสัก 5 ปีเถอะ" พ.ต.อ.ไพศาล กล่าวพลางหัวเราะร่วน
ถัดจากรถสปอร์ตคันงาม ผู้กำกับเต๋อยังมีของสะสมอีกหลากหลาย หนึ่งในของรักหวงแหนคือพระเครื่อง เริ่มตั้นตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้หมวดหนุ่มครองยศ ร.ต.ต. ไปเช่าหลวงปู่ทวดจากลูกน้องในราคา 4,000 บาท แต่โชคไม่ดีเพียงชั่วข้ามคืนก็ถูกมือดีฉกไปทั้งสร้อยคอทองคำและหลวงปู่ทวดเลี่ยมทอง จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองให้หมั่นทำดีให้มากๆ ชีวิตจะได้เจอแต่คนดีๆ
ครั้นต่อมาด้วยความชื่นชอบพระเครื่องเก่าๆ พ.ต.อ.ไพศาล ดั้นด้นเสาะแสวงหาได้พระเครื่องมาองค์หนึ่งเสียเงินเช่าไป 2 แสนบาท นำมาให้เซียนพระดูได้รับคำตอบชนิดลมออกหู "องค์นี้ให้ยังรู้สึกโกรธ" แรกๆ ฉุนมากแต่หลังๆ มาก็เริ่มคิดได้ ถือว่าไม่มีดวงและเป็นความสมัครใจซื้อหามาเอง ผู้กำกับฯ พูดติดตลก "ก็เรามันโง่เอง" ก่อนจะหัวเราะจนอกกระเพื่อม "ภาษานักเลงบอกว่าอะไรที่เป็นของเราก็เป็นของเรา อย่าละโมบ หากเป็นของเราก็จะมาเอง"
อย่างไรก็ดี ในความอับโชคก็ยังมีคนรักใคร่ให้ลาภสักการะ ให้พระเครื่องมากราบไหว้บูชา ทั้งที่มีราคาและคุณค่าทางจิตใจ แม้จะไม่มีความรู้เรื่องราคาเช่าพระมากนัก แต่หากเอ่ยชื่อเซียนพระก็ถึงบางอ้อ ทั้ง หลวงปู่ทวด พระหูยานลพบุรี และพระมเหศวร ฯลฯ ผู้กำกับร่างเล็กบอกกับคนที่ให้พระทุกคนว่า ถ้าตายก่อนให้เขามารับพระคืนได้ เป็นเหมือนคำสัตย์ที่จะเก็บพระไว้ตลอด ไม่นำไปทำอย่างอื่น
"ผมพูดอย่างไม่อาย ทุกวันนี้หมั่นสร้างความดี ทำความดีไว้เยอะๆ ผมภาคภูมิใจในตำรวจที่ได้ช่วยเหลือประชาชน เขายิ้มให้เราก็ดีใจ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำความดีจะเจอคนดีๆ แต่เชื่อไหมทุกวันนี้ยังถูกคนใกล้ชิดหลอกอยู่เลย เพราะความไว้วางใจ รักใครก็ไม่ค่อยระแวง ผมมาแพ้คนใกล้ตัวตลอด คนไกลนี่กินไม่ลงหรอก แต่คนใกล้ตัวนี่ยกเว้นภรรยานะ" พ.ต.อ.ไพศาล ขยันปล่อยมุกเรียกเสียงหัวเราะได้ทุกเมื่อ
ผู้กำกับร่างเล็กไม่ได้ชื่นชอบสะสมเฉพาะของเก่าเก็บเท่านั้น เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างกล้องถ่ายรูปดิจิทัลเขาเองก็หลงใหล ชนิดซื้อหนังสือเกี่ยวกับการถ่ายรูปมาอ่านหมดไปเป็นหมื่นๆ บาท
"แต่ผมอ่านไปได้สักร้อยบาทเองมั้ง" พูดพลางหัวเราะพลาง เมื่อนึกถึงตำราถ่ายภาพที่กำลังจะกลายเป็นหมอนหนุนนอน
เหตุผลที่ชอบการถ่ายภาพเป็นเพราะ พ.ต.อ.ไพศาล มองว่า เทคนิคการถ่ายภาพกับการยิงปืนมีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่อย่างแรกมีความละเอียดลออด้านเทคนิคมากกว่า และจำเป็นต้องฝึกทักษะมากกว่าการใช้ปืน
ลูกผู้ชายมีรถสปอร์ตแล้ว มีพระเครื่องแล้ว มีกล้องถ่ายรูปแล้ว สิ่งสุดท้ายที่ต้องมีคืออาวุธปืน ยิ่งเป็นนายตำรวจด้วยแล้วยิ่งจำเป็น ผู้กำกับเต๋อ สะสมอาวุธปืนกว่า 10 กระบอก ตั้งแต่ ปืนสั้น ปืนลูกซอง ไรเฟิล ยันเอ็ม 16
"มันเหมาะกับคนเตี้ยๆ แบบผม ปืนเบนนารี่เป็นปืนลูกซองที่ดีที่สุด ใช้ในการจู่โจม" พ.ต.อ.ไพศาล กล่าวพลางกระชับปืนลูกซองประทับบ่าสาธิตวิธีใช้
"ส่วนปืนกระบอกนี้โปรดมากเอาไว้ยิงแข่ง" ผู้กำกับชี้ไปยังปืน STI EDGE ขนาด .45 มูลค่ากว่า 2 แสนบาท ที่วางคู่กับปืนประจำกายอีก 2 กระบอก ปีที่แล้วเขาลงแข่งยิงปืน 20 นัด ระยะ 20 หลา ทำคะแนนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะยกนิ้วมือแตะนิ้วชี้ทำสัญลักษณ์รูปโอเค แสดงวงกลมเป็นรอยกระสุนทั้ง 20 ลูกอัดแน่นเป็นรูพรุน
ทีนี้ลองมาดูภารกิจหลักในฐานะ ผกก.สน.ปทุมวัน ปัญหาหนักอกคงหนีไม่พ้นเรื่องนักเรียน-นักเลงยกพวกตีกัน ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อยาวนาน พ.ต.อ.ไพศาล ยอมรับว่าตอนเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าแค่ย้ายมา 2 เดือน เด็กอาชีวะฆ่ากันตาย 3 ศพ แล้วจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ แบบนี้เหรอ ?
"นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถามว่า กำลังถ่ายหนังกันอยู่เหรอ ผมบอกว่าครับ ถ่ายหนัง เขายังซักต่อว่านี่กระจกแตกด้วย ฝรั่งก็งงนี่มันปี 2009 แล้วนะยังมีคนมาปิดถนนตีกันอยู่อีก ผมเลยต้องกระโดดลงไปศึกษาข้อมูลทั้ง 2 สถาบัน โดยใช้หลักของในหลวงคือ 'เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา' ทำความรู้สึกสนิทสนม ให้ความจริงใจ แก้ปัญหาให้เขา"
หนึ่งในแนวทางแก้ไข คือ มาตรการเร่งด่วนส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจเข้มเป็นตัวแอล (L) สำรวจเส้นทางเชื่อมการเดินทางของ 2 สถาบัน และมาตรการเร่งรัดดำเนินการตามแผนขั้นเด็ดขาด "กำจัดและจำกัด" หัวโจกที่มีอยู่ 10-20 คนที่ชักจูงรุ่นน้องเดินทางผิด ด้วยหลักคิดกำจัดระบบโซตัสแย่ๆ ให้เหลือแต่ระบบโซตัสดีๆ มีรุ่นพี่ดีๆ คอยแนะนำน้องไปในทางที่ดี ปัญหายกพวกตีกันก็ไม่เกิด
พูดจบ...ผู้กำกับเต๋อก็เตรียมนั่งรถกระบะประจำตำแหน่งมุ่งหน้าสู่ สน.ปทุมวัน ทั้งที่เพิ่งกลับมานอนที่บ้านได้แค่ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น !
ทีมข่าวรายงานพิเศษ : เรื่อง
นัทพล ทิพย์วาทีอมร : ภาพ