ข่าว

วิษณุ ชี้ หากโหวตพ.ร.บ.งบไม่ผ่านรัฐบาลควรยุบสภา-ลาออก

วิษณุ ชี้ หากโหวตพ.ร.บ.งบไม่ผ่านรัฐบาลควรยุบสภา-ลาออก

08 ต.ค. 2562

วิษณุ แจงครม.รธน.60 ให้ส.ส.เป็นรมต.ในคราวเดียวกันแถมโหวตร่างพ.ร.บ.งบได้ ชี้หากไม่ผ่านรัฐบาลควรยุบสภา - ลาออก

 

8 ตุลาคม 2562  นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่เป็นส.ส.สามารถลงมติร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้

 

โดยกล่าวว่า มีการสงสัยกันในเรื่องดังกล่าว เพราะรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเขียนไว้ไม่เหมือนกัน แต่เราได้ทำความเข้าใจแล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสามารถลงมติได้ ทั้งนี้ เกิดจากความเคยชินเนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ระบุว่าเมื่อ ส.ส.มาเป็นรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากส.ส.ภายใน 30 วัน ฉะนั้นจะเหลือแต่ความเป็นรัฐมนตรี ซึ่งไม่สามารถไปโหวตอะไรในสภาฯได้ ต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550 เขียนอีกแบบหนึ่งว่า ส.ส.เป็นรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องลาออก แต่รัฐมนตรีจะลงมติในเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสียไม่ได้ จึงทำให้รัฐมนตรีหลายคนที่เป็นส.ส.ไม่กล้าโหวตในเรื่องงบประมาณ และไม่กล้าโหวตในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวเอง

 

แต่เมื่อมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส.ส.เป็นรัฐมนตรีในเวลาเดียวกันได้ และไม่ได้ระบุเหมือนแต่ก่อนว่าจะลงมติในเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสียไม่ได้ ประเด็นนี้ถูกตัดออกไปแล้ว ซึ่งก็แปลว่าสามารถลงมติได้ แต่โดยมารยาทแล้วในการลงมติไม่ไว้วางใจตัวเอง ไม่ควรจะลงมติ แต่ในเรื่องการเสนอกฎหมาย จะเป็นเรื่องงบประมาณหรือกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่เป็นเรื่องมีส่วนได้เสียส่วนตัว แต่เป็นส่วนได้เสียส่วนรวม ฉะนั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม และโดยสรุปก็มีรัฐมนตรีที่เป็นส.ส. มีความสงสัยอยู่ 19 คน สามารถลงมติในเรื่องงบประมาณเช่นเดียวกับลงมติในเรื่องอื่น ๆได้

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับรัฐมนตรีอย่างไรบ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า นายกฯ ก็บอกให้รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยเหตุว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี จะเป็นส.ส.หรือไม่เป็นส.ส.ก็ตาม ก็ต้องเข้าประชุม เพราะเป็นเรื่องงบประมาณ หากมีการสอบถามเรื่องของกระทรวงใดก็สามารถที่จะช่วยอธิบายได้ โดยเฉพาะในวาระที่หนึ่ง ขณะเดียวกัน นายกฯยังกำชับว่า จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เอาไว้พิจารณาในชั้นแปรญัตติ

 

จึงขอให้ผู้แทนรัฐบาลที่มีอยู่ 15 คนที่จะไปเป็นกมธ. ควรเป็นคนที่มีเวลาว่างเป็นหลัก ไม่ใช่ไปเป็นโก้ๆ หลายคนคิดว่าการไปเป็นกมธ.งบประมาณ เป็นเกียรติยศ แต่ความจริงต้องนั่งประชุมตลอดเวลาถึง 60 วัน เพราะจะต้องพิจารณากฎหมายยาวนานที่สุด และแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ประธานหรือรองประธานก็ถือเป็นกมธ.ซึ่งที่ประชุมจะต้องดูไปทีละมาตรา ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีที่จะมาเป็นกมธ.ในส่วนรัฐบาล ยังได้รายชื่อไม่ครบ แต่ได้ 3 รายชื่อที่จะเป็นตัวแทนหลัก ได้แก่ รมว.คลัง รมช.คลัง และปลัดคลัง ในส่วนที่เหลือจะให้แต่ละพรรคการเมืองไปหาและนำมาเสนอโดยไม่ต้องนำรายชื่อเข้าครม.อีก แต่ให้แจ้งไปที่รมว.คลังและสำนักงบประมาณเพื่อประสานกับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) โดยรายชื่อไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรี เพราะมีจุดอ่อนที่อาจจะไม่มีเวลาไปนั่งเป็นกมธ.

 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ สภาฯได้แจ้งมาหรือไม่ว่าจะใช้เวลากี่วัน นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาในวันที่ 17 ต.ค. และปิดประชุมวิสามัญฯในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีเวลารวมกันทั้งหมดประมาณ 3-4 วัน ซึ่งก็ต้องไปแบ่งกันเอง ถ้าส.ว.ไม่เอา ส.ส.ก็ได้ไปทั้งหมด แต่ถ้าส.ว.เอา ก็ต้องเหลือให้ส.ว.สัก 1 วันหรือครึ่งวัน ก็ขอให้วิปรัฐบาลไปตกลงกันเอง แต่ส.ว.ก็ขอเวลาไว้แล้ว เพราะเขามีเรื่องที่จะต้องทำเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยเบื้องต้น 2 วันอยู่แล้ว ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ถ้าเลยจากนั้นก็เป็นวันเสาร์และวันอาทิตย์

 

ต่อข้อถามที่ว่า  ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ถ้าหากไม่ผ่านสภาฯ จะมีผลอย่างไรกับความรับผิดชอบทางการเมืองและทางกฎหมาย นายวิษณุ กล่าวว่า หลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีอยู่แล้วว่าอะไรก็ตามที่สภาฯ เสียงข้างมากไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลนั้นก็ไม่พึงจะอยู่ต่อไป ซึ่งการไม่ไว้วางใจนั้นแสดงออกได้ 2 อย่าง คือ 1.ไม่ไว้วางใจโดยเปิดเผย ตรงนี้ทำโดยการลงมติไม่ไว้วางใจ

 

2.ไม่ไว้วางใจโดยปริยาย จะแสดงออกจากการที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายสำคัญเข้าสภาฯ แล้วสภาฯลงมติให้ไม่ผ่าน ก็แปลว่าสภาฯไม่ยอมให้เครื่องมือรัฐบาลไปทำงาน รัฐบาลก็ไม่ควรจะต้องอยู่ แต่วิธีที่จะไม่อยู่นั้น สามารถทำได้ 2 อย่าง คือ 1.ทำโดยรัฐบาลลาออก หรือ 2.ทำโดยออกด้วยกันทั้งคู่ เพราะการที่สภาฯไม่เห็นชอบนั้น ไม่รู้ว่าประชาชนเขาคิดอย่างไร จึงยุบสภาแล้วไปเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ

 

ดังนั้น ทางออกสามารถทำได้ 2 อย่าง เป็นเรื่องทั่วไป ไม่ใช่เรื่องแปลก และเราก็ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา โดยในอดีตก็เคยมีรัฐบาลที่ลาออกเพราะสภาฯ ลงมติไม่ผ่านกฎหมาย แต่ก็มีรัฐบาลที่ไม่ลาออกแม้สภาฯลงมติไม่ผ่านกฎหมายเช่นกัน เพราะถือว่าไม่ใช่กฎหมายสำคัญ แต่สำหรับกฎหมายงบประมาณนั้นเป็นกฎหมายสำคัญ