ข่าว

โยน กนศ. ตัดสินฟื้นเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู

โยน กนศ. ตัดสินฟื้นเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู

07 พ.ย. 2562

พาณิชย์ เดินสายรับฟังความเห็น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบพิจารณาฟื้นเจรจา FTA ไทย-อียู ทั่วประเทศ เตรียมชงผลศึกษาให้ กนศ.พิจารณา

 

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินสายรับฟังความเห็นของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประกอบการพิจารณาฟื้นการเจรจาเอฟทีเอ FTA ไทย-อียู ทั่วประเทศครบ ทั้งกรุงเทพ เชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น เตรียมชงผลศึกษา วิจัย ข้อคิดเห็นจากผู้ประกอบการภาคเกษตร และอุตสาหกรรม เกษตรกร และนักวิชาการ ต่อ กนศ. พิจารณา ชี้กรม ฯ จะเดินหน้าลงพื้นที่และรับฟังความเห็นอย่างต่อเนื่องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทย

 

          นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมกับสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาทำการศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป หรือเอฟทีเอไทย-อียู โดยให้ทุกภาคส่วนได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดำเนินงานและการตัดสินใจเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด โดยได้ลงพื้นที่จัดสัมมนารับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งในกรุงเทพฯ และทั่วทุกภูมิภาค พร้อมเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ ภาคประชาสังคม เกษตรกร และนักวิชาการ เข้าร่วม ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น หลังจากการลงพื้นที่รับฟังความเห็นก่อนหน้านี้ 3 ครั้งในภาคตะวันออก ณ จังหวัดชลบุรี ภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และภาคใต้ 

 

          นางอรมน กล่าวว่า หลังจากนี้ กรมฯ จะรวบรวมผลการรับฟังความเห็นทั้งหมด และผลการศึกษาวิเคราะห์เสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับการฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูปลายเดือน พ.ย.นี้ ทั้งนี้ ได้ย้ำกับผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า การลงพื้นที่ในวันนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่กรมฯ จะลงพื้นที่รับฟังความเห็นจากพี่น้องชาวอีสาน แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสร้างความตื่นตัวให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอีสาน และเตรียมการฟื้นเจรจา ซึ่งเมื่อเริ่มเจรจาแล้ว กรมฯ จะยังลงพื้นที่เพื่อให้ข้อมูลความคืบหน้า และรับฟังความเห็นอย่างต่อเนื่อง

 

          ทั้งนี้จากการจัดสัมมนาทั้งกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ผ่านมา พบว่าผู้ประกอบการไทยทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เช่น เนื้อสัตว์ อาหารสำเร็จรูป ยานยนต์ และชิ้นส่วน ค่อนข้างมีความพร้อม และสนับสนุนการฟื้นเจรจาเอฟทีเอกับอียู ต้องการให้ลดอุปสรรคทั้งทางด้านภาษีและที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อขยายตลาด และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดอียูจากประเทศอื่นที่ได้จัดทำเอฟทีเอกับอียูแล้ว เช่น เวียดนามและสิงคโปร์

 

          อย่างไรก็ดี ภาคประชาสังคม และนักวิชาการบางท่านได้เสนอให้การเจรจารวมคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากข้อผูกพันด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่อาจสูงขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและการเข้าถึงยา และการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ นอกจากนี้ กลุ่มเกษตรกรได้เสนอให้ภาครัฐให้ความรู้และฝึกอบรมเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าของอียูที่เข้มงวด เพื่อให้สามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปอียูได้ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอเพื่อเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย   

 

          ทั้งนี้ อียูถือเป็นตลาดใหญ่ ครอบคลุม 28 ประเทศในทวีปยุโรป มีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 4 ของไทย โดยในปี 2561 การค้าไทย-อียู มีมูลค่า 47,322 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.4 ของการค้าไทยกับโลก ขยายตัวร้อยละ 6.5 จากปี 2560 โดยไทยส่งออกไปอียู 25,041 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และนำเข้าจากอียู 22,281 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอียู เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากอียู เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น

 

          สำหรับการลงทุนไทยในอียูมีแนวโน้มสูงขึ้นในรอบ 2 ปี ที่ผ่านมา โดยในปี 2561 คิดเป็น 11,339 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าการลงทุนจากอียูเข้ามาในไทย ซึ่งอยู่ที่ 7,065 ล้านเหรียญสหรัฐ