'ซาดิโอ มาเน' : ครอบครัว, ยอดแข้ง และการแบ่งปัน
"ผมมีความสุข และรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รางวัลนี้มาครอง ฟุตบอลคืองานของผม ซึ่งผมรักมันมาก"
“ผมขอขอบคุณครอบครัว, คนที่บ้านเกิด, ทีมชาติเซเนกัล, สตาฟฟ์โค้ช, สหพันธ์ฟุตบอลแอฟริกัน และสโมสรลิเวอร์พูล ที่คอยสนับสนุนผม นี่คือวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมจริงๆ”
ซาดิโอ มาเน แนวรุกคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล และทีมชาติเซเนกัล กล่าวหลังจากผงาดคว้ารางวัลนักเตะแอฟริกันยอดเยี่ยมประจำปี 2019 ไปครองจากผลงานอันโดดเด่นในปีที่ผ่านมาทั้งกับ “หงส์แดง” ที่มีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ถึง 3 รายการ ประกอบด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ขณะที่กับทีมชาติดาวเตะวัย 27 ปีก็ช่วยทีมได้รองแชมป์ฟุตบอลแอฟริกัน เนชันส์ คัพ
นอกจากนั้น มาเน ยังมีฟอร์มส่วนตัวที่น่าประทับใจหลังทำไป 35 ประตูกับ 11 แอสซิสต์จากการลงสนาม 63 เกมรวมทุกรายการในปีที่ผ่านมา ซึ่งด้วยผลงานทั้งหมดเป็นเหตุให้เขาซิวรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวไปครองเป็นสมัยแรก โดยเอาชนะ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ แนวรุกเพื่อนร่วมทีม ลิเวอร์พูล และริยาด มาห์เรซ ปีกสารพัดประโยชน์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี
โดย มาเน ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเป็นหนึ่งในแนวรุกที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้หลังประสบความสำเร็จมากมาย เช่นเดียวกับเรื่องนอกสนามที่เจ้าตัวได้รับการชื่นชมไม่แพ้กัน ซึ่งทุกอย่างได้หล่อหลอมในตัวของชายที่รักฟุตบอลรายนี้
จุดเริ่มต้นจากครอบครัว
มาเน เกิดใน แบมบาลี หมู่บ้านเล็กๆในเมืองเซดิอู ประเทศเซเนกัล ซึ่งเจ้าตัวคือหนึ่งในเด็กหนุ่มที่รักในการเล่นฟุตบอลโดยมีแรงบัลดาลใจมาจากการที่ เซเนกัล สามารถผ่านเขาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2002 และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านขณะนั้น
อย่างไรก็ตามความหวังในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเจ้าตัวนั้นเรียกได้ว่าเลือนราง ด้วยความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากซึ่งในตอนแรกครอบครัวของเขานั้นไม่สนับสนุนให้ มาเน เล่นฟุตบอลเนื่องจากมองว่าไม่มีประโยชน์
ถึงกระนั้นคุณลุงของ มาเน คือผู้ที่ผลักดันให้เขาตามความฝัน ทำให้สุดท้ายแล้วครอบครัวตัดสินใจขายผลผลิตพืชสวนจากฟาร์ม รวมถึงความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านเพื่อส่ง มาเน ไปทดสอบฝีเท้ากับ อคาเดมีของทีมเจเนอเรชัน ฟุต ที่ ดาการ์ เมืองหลวงของ เซเนกัล
โดยสภาพของ มาเน ในตอนนั้น คือ สวมรองเท้าขาดๆ และกางเกงที่ไม่ใช่กางเกงกีฬาทำให้เขาถูกมองข้ามตอนนั่งข้างสนาม ทว่าหลังจากที่เขาลงไปวาดลวดลายบนผืนหญ้า เจ้าตัวราวกับเสกเวทย์มนตร์ และได้รับเลือกให้เขาสู่อคาเดมีของทีมในที่สุด
ตามสถิติระบุว่า มาเน ยิงให้ทีมอคาเดมีดังกล่าวไปถึง 131 ลูก จาก 90 นัดส่งผลให้ฟอร์มไปเข้าตาแมวมองรายหนึ่ง และเขาพาแข้งรายนี้ลัดฟ้าไปเข้าสังกัด เมตช์ ที่ฝรั่งเศสด้วยวัยเพียง 19 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
จากดินสู่ดาว
มาเน สนใจแค่เพียงการเล่นฟุตบอลเท่านั้น ทำให้เจ้าตัวสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อย่างรวดเร็ว โดยถึงแม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จกับ เมตช์ มากนักหลังยิง 2 ประตูจาก 22 นัด แต่ เร้ดบูลส์ ซัลซ์บวร์ก ยอมเสี่ยงทุ่มเงิน 4 ล้านปอนด์ (ราว 155 ล้านบาท) เพื่อดึงตัว มาเน ที่สามารถเล่นได้ทั้งปีกซ้าย, ขวา แม้กระทั่งกองหน้าตัวเป้ามาร่วมทีมในปี 2012
และการย้ายทีมครั้งนี้ของ มาเน เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพค้าแข้งของเจ้าตัว เพราะเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และผลิตสกอร์อย่างเป็นกอบเป็นกำถึง 45 ประตูจาก 87 นัด จนไปเตะตาแมวมองของหลายทีมในยุโรป ทั้ง บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในยุคของ เจอร์เกน คลอปป์ แต่สุดท้ายเป็น เซาธ์แฮมป์ตัน ที่สามารถปิดดีลกับเจ้าตัวได้ในปี 2014 และทำให้เขาได้ไปค้าแข้งในเวทีลูกหนังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
การมาเล่นในหนึ่งในลีกที่ดีที่สุดของโลกนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับนักเตะวัย 24 ปี ที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆในเซเนกัล เพราะเขาต้องถูกคาดหวังเรื่องผลงาน พร้อมถูกจับตาจากสื่อทั่วโลก แม้จะไม่ได้อยู่กับบิ๊กทีมก็ตาม ทว่า มาเน ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจนขึ้นมาเป็นผู้เล่นเกมรุกที่ “นักบุญ” จะขาดไปไม่ได้ด้วยสถิติน่าสนใจมากมาย ทั้ง การยิงแฮตทริกเร็วที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วยเวลาเพียง 2 นาที 56 วินาทีในฤดูกาล 2014–15 และครองตำแหน่งดาวซัลโวของทีมหลังยิง 15 ประตูในฤดูกาล 2015–16 เป็นต้น
โดยผลงานของ มาเน อยู่ในสายตาของ คลอปป์ ซึ่งย้ายมาคุมทีม ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 และเคยพลาดร่วมงานกับแข้งรายนี้มาแล้วหนึ่งครั้ง จนเป็นเหตุให้เฮดโค้ชชาวเยอรมันจัดการเซ็นสัญญาแนวรุกรายนี้มาอยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์แข้งแอฟริกันในขณะนั้นเมื่อปี 2016
และ มาเน ก็กลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญอย่างมากในแผงเกมรุกของ คลอปป์ เพราะเขาสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง, มีความเร็วในการเล่นเกมโต้กลับ และขยันไล่บอลเวลาทีมเล่นเพรสซิง ซึ่งตลอดช่วงเวลา 3 ซีซั่นที่เขาอยู่กับ เจ้าตัวได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเล่นได้คุ้มค่าตัวเพียงใดจากผลงานทำ 74 ประตูกับ 33 แอสซิสต์จากการลงสนาม 151 นัดให้ทีมจนถึงปัจจุบัน และกวาดรางวัลส่วนตัวมาครองมากมาย เช่น นักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรประจำฤดกาล 2016-17 และดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 เป็นต้น
โดย เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล กล่าวถึงแข้งรุ่นน้องรายนี้ว่าเป็นปีกระดับเวิลด์คลาส และมีฝีเท้าเทียบชั้น จอห์น บาร์นส อดีตปีกระดับตำนานของ “หงส์แดง” เลยทีเดียว ส่วน ลิโอเนล เมสซี ดาวเตะซูเปอร์สตาร์ของ บาร์เซโลนา และเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2019 ระบุว่า มาเน เป็นผู้เล่นที่ตนเองชื่นชอบ และมีปีที่ดีกับ ลิเวอร์พูล
ผู้รับสู่ผู้ให้
แน่นอนว่าด้วยฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม และชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทำให้ มาเน ถือเป็นต้นแบบของใครหลายคน โดยเฉพาะคนในหมู่บ้าน แบมบาลี ที่ยกย่องว่าเจ้าตัวเป็นฮีโร่ และทุกย่างก้าวของหมู่บ้านก็มีกลิ่นไอของดาวเตะวัย 27 ปีผู้นี้อยู่
และ มาเน ก็ไม่เคยลืมรากเหง้าของตัวเองว่ามาจากไหน และมีทุกวันนี้ได้เพราะใครซึ่งหากไม่มีผู้คนในหมู่บ้านคอยช่วยเหลือให้เจ้าตัวไปทดสอบฝีเท้าที่ ดาการ์ ในตอนนั้น ก็อาจจะไม่มี ซาดิโอ มาเน ในวันนี้
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาแนวรุก ลิเวอร์พูล มักจะทำงานการกุศลเป็นประจำโดยเฉพาะที่บ้านเกิดของเขา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้, บริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียน, บริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล รวมทั้งช่วยทำความสะอาดห้องน้ำในมัสยิด เป็นต้น
นอกจากนั้น ตามการบอกเล่าของคนใกล้ชิด เช่น สตาฟฟ์โค้ชทีมชาติเซเนกัล และเพื่อนร่วมทีมของ ลิเวอร์พูล ก็ระบุว่า มาเน เป็นคนที่มีบุคลิกนอบน้อม มีน้ำใจ และสมถะ โดยเคยมีภาพที่เจ้าตัวช่วยเจ้าหน้าที่ทีมขนน้ำดื่มในช่วงระหว่างไปรับใช้ทีมชาติเซเนกัลทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่อย่างใด จึงไม่น่าแปลกใจที่ มาเน จะเป็นที่รักของคนหมู่มากเช่นนี้
ต้องมาติดตามกันว่าต่อจากนี้ไป มาเน นักเตะที่ได้รับการยอมรับทั้งใน และนอกสนามรายนี้ จะพัฒนาตัวเองไปสู่จุดใดในวงการลูกหนัง และเขาจะสามารถก้าวไปสู่จุดหมายสูงสุดที่ตนเองเคยตั้งไว้อย่างการคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครองได้หรือไม่?