แม่วอนช่วยเหลือทั้งน้ำตา หลังลูกชายเกิดอุบัติเหตุจนพิการ
หัวอกแม่ ลูกชายกลายเป็นคนพิการ หลังเกิดอุบัติเหตุถูกรถเบียดตกถนน พ่อต้องไปทำงานใช้หนี้ แม่ต้องเลิกงานมาดูแล รายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว วอนสังคมช่วยเหลือ
เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ ( 25 ม.ค. 2563) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีครอบครัวแม่ลูกที่กำลังได้รับความลำบากอย่างหนัก หลังจากที่ลูกชายคนโตซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ได้เกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ปริศนาเบียดรถจักรยานยนต์ตกถนน ในขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านหลังเลิกงาน จนได้รับบาดเจ็บและพิการเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว ต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แม่ต้องหยุดทำงานเพื่อออกมาดูแลลูกชาย ส่วนพ่อต้องไปทำงานใช้หนี้ให้กับนายจ้างที่ต่างจังหวัด เพราะเอาเงินมาใช้รักษาลูก ทำให้ครอบครัวต้องอยู่ในลำบากอย่างหนัก เนื่องจากไม่มีรายได้จากการทำงานมาจุนเจือครอบครัว อาศัยเพียงเบี้ยคนพิการของลูกชายเพียงเดือนละ 800 บาท มาใช้ในการดำรงชีพเท่านั้น อีกทั้งยังมีลูกสาวอีกคนอายุ 14 ปี ที่ยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม. 2 บางวันก็ไม่มีเงินจะไปโรงเรียน เนื่องจากต้องเก็บเงินไว้รักษาลูกชาย
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 46 หมู่ที่ 9 บ้านหนองบัวน้อย ตำบลแก อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวดังกล่าว โดยได้พบกับนางทิพย์ทอง เนื้อขาว อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนายกฤษณะ เทวา อายุ 22 ปี ที่พิการนอนป่วยอยู่บนเตียง จึงได้สอบถามถึงเรื่องราวดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับการเปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ลูกชายของตนคือนายกฤษณะ ได้ไปทำงานที่โรงผลิตน้ำดื่มในตัวอำเภอรัตนบุรี ซึ่งเพิ่งได้ไปสมัครทำงานได้ไม่นาน ตอนนั้นเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ลูกชายก็ได้ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านหลังจากเลิกงาน จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ซึ่งตนและญาติๆก็ได้ออกตามหากันทั้งคืนจนสว่างก็ไม่พบตัว จนกระทั่งในเวลา 7 โมงเศษๆ ก็ได้มีโทรฯศัพท์ของลูกชายโทรฯเข้ามาหาตน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า เกิดอุบัติเหตุรถตกถนนได้รับบาดเจ็บไม่สามารถขยับตัวได้ อยู่ที่บริเวณโค้งต้นตาลก่อนถึงบ้านแก ตอนนี้ยังอยู่ในที่เกิดเหตุ เมื่อตนได้ยินดังนั้นก็ได้รีบเดินทางไปยังที่เกิดเหตุทันที เมื่อไปถึงก็ได้เห็นสภาพของลูกชาย ร่างจมอยู่ในน้ำเกือบถึงคอไม่สามารถขยับตัวได้ โดยมีพลเมืองดีที่มาพบและคอยช่วยพยุงช่วงต้อคอไว้ไม่ให้จมน้ำ และเป็นคนช่วยกดโทรศัพท์ให้ ตนจึงได้ช่วยกันนำร่างของลูกชายขึ้นมาจากน้ำแล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลรัตนบุรี ซึ่งทางโรงพยาบาลรัตนบุรีแจ้งว่าลูกชายมีอาการหนักต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ซึ่งแพทย์บอกว่าลูกชายได้รับบาดเจ็บปอดฉีกและกระดูกสันหลังหัก ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง ในตอนนั้นตนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องไห้อย่างเดียว เพราะว่ามันทำใจไม่ได้ มันกะทันหันมาก แต่ทางโรงพยาบาลสุรินทร์เขาก็ให้การช่วยเหลือดี ให้คำแนะนำดี และทางคุณหมอเปิ้ลที่รัตนบุรีก็ได้ให้ความช่วยเหลือทำบัตรคนพิการให้ จนได้ใช้เงินในส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่าย แต่ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี เพราะแต่ละครั้งที่มาโรงพยาบาล ต้องจ้างเหมารถในการเดินทาง เพราะสภาพของลูกชายไม่สะดวกที่จะเดินทางด้วยรถโดยสาร ทำให้ครอบครัวต้องลำบากในเรื่องเงินค่าจ้างรถ ต้องไปกู้เงินเขามา ทำให้ทุกวันนี้สามีต้องไปทำงานใช้หนี้นายจ้างอยู่ที่ต่างจังหวัด ตนก็ต้องเลิกรับจ้างงานเพื่อกลับมาดูแลลูกชาย ทุกวันนี้จึงไม่มีใครออกไปรับจ้างหารายได้มาจุนเจือครอบครัว
ส่วนในเรื่องที่เกิดอุบัติเหตุนั้น จากคำบอกเล่าของลูกชาย ก็ได้ทราบว่า ในวันนั้นในขณะที่กำลังขับรถจักรยานยนต์จะมุ่งหน้ากลับบ้าน พอมาถึงบริเวณทางโค้งต้นตาล ก็ได้มีรถยนต์กระบะสีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ได้ขับตามหลังมาและแซงรถของลูกชายไป จากนั้นรถคันดังกล่าวก็ได้ชะลอรถ ลูกชายจึงคิดว่าคงจะให้แซง จึงได้เร่งเครื่องเพื่อที่จะแซง ในขณะที่รถตีคู่กันมา รถยนต์กระบะคันดังกล่าวก็ได้เร่งเครื่องและเบียดรถของลูกชายจนตกถนน จากนั้นลูกชายก็ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งพลเมืองดีไปพบในตอนเช้า จนทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถติดตามรถกระบะคันดังกล่าวที่ก่อเหตุได้ จึงทำให้ไม่สามารถหาคู่กรณีเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายได้ ตอนนี้ก็ได้แต่เพียงเงินจาก พรบ.จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ได้ใช้เป็นค่ารักษาลูกชายไปหมดแล้ว
สำหรับสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวตนแต่เดิมทีนั้น ตนกับลูกชายและสามี ก็จะพากันไปรับจ้างตัดอ้อยที่ต่างจังหวัดปีละครั้ง ไปครั้งละ 4-5 เดือนก็จะกลับมาบ้าน เวลาที่เหลืออยู่บ้านก็อาศัยรับจ้างทั่วไปแถวๆบ้าน แต่เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากกลับมาจากรับจ้างตัดอ้อย ลุกชายก็อาศัยช่วงเวลาที่ว่างไปหางานทำในตัวอำเภอรัตนบุรี จนได้งานทำที่โรงงานผลิตน้ำดื่มในตัวอำเภอรัตนบุรี เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอีกทาง เพราะเขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัว แต่ทำได้ไม่นานก็มาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา จนต้องกลายเป็นคนพิการ เป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเป็นทางการ มีแต่เพียงเมื่อวานนี้ได้พาลูกชายไปร่วมโครงการแพทย์อาสา พอ.สว.ที่จังหวัดสุรินทร์ได้จัดแพทย์เคลื่อนที่ออกมาให้การรักษาประชาชนฟรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้ขอรายชื่อไว้เพื่อที่จะส่งไปขอความช่วยเหลือต่อไปแล้ว
นางทิพย์ทอง เนื้อขาว ยังได้กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้ครอบครัวมีความลำบากมาก เพราะไม่มีใครออกไปหารายได้ จึงทำให้ไม่มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว ทุกวันนี้ก็ได้แต่อาศัยเบี้ยคนพิการของลูกชายเดือนละ 800 และอาศัยหยิบยืมญาติๆและเพื่อนบ้านมาประทังชีวิตครอบครัวไปวันๆ ส่วนลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ก็ได้แบ่งเงินให้ไปโรงเรียนเพียงวันละ 20 บาทเท่านั้น บางวันก็ไม่มีให้ไป สงสารลูกมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะรายได้ของครอบครัวก็ไม่มี อยากจะหาเงินซื้อรถเข็นให้ลูกชาย เพื่อที่เวลาจะเดินทางไปโรงพยาบาล และตอนจะเข้าห้องน้ำจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตนต้องคอยอุ้มไปห้องน้ำทุกวัน เนื่องจากลูกชายร่างกายไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไป ปัจจุบันเริ่มมีแผลกดทับที่บริเวณก้นและหลัง ต้องไปล้างแผลบ่อยครั้ง และยังต้องพาไปกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลรัตนบุรีทุกอาทิตย์ ซึ่งตนก็พาไปบ้างไม่ได้พาไปบ้างเพราะเงินไม่มี ทุกวันนี้คนในครอบครัวยังไม่มีใครทำใจได้ ไม่นึกว่าครอบครัวจะต้องมาพบกับสภาพอย่างนี้ ซึ่งตนก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป กับสภาพที่เป็นอยู่นี้
ภายหลังจากที่ได้กล่าวมาถึงช่วงนี้ นางทิพย์ทอง แม่ของนายกฤษณะ ก็ได้แต่ร่ำไห้พร้อมกับมองไปที่ลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงไม้ จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นไปบีบนวดที่เท้าของลูกชาย นับเป็นภาพที่สลดหดหู่ใจของผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับนี้ทีมผู้สื่อข่าวก็ได้ร่วมกันมอบเงินช่วยเหลือไปจำนวนหนึ่ง เพื่อไว้เป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งหากท่านผู้ใจบุญท่านใดที่ต้องการอยากจะช่วยเหลือครอบครัวนี้ ก็สามารถส่งความช่วยเหลือมาได้ที่ บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขารัตนบุรี ชื่อบัญชี นางทิพย์ทอง เนื้อขาว บัญชีเลขที่ 017262883793 หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 093-0588046 เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือเป็นค่าครองชีพ และใช้ในการรักษาพยาบาลลูกชาย เพื่อให้ครอบครัวนี้ให้ได้มีความหวังในการต่อสู้ชีวิต และประทังชีวิตต่อไปได้ ไม่ต้องพบกับความลำบากไปมากกว่านี้
ภาพ/ข่าว ชูชัย ดำรงสันติสุข – สุทิศ บุญยืน จ.สุรินทร์