เมื่อเศรษฐีโลก 83 คน วอนรัฐบาลเก็บภาษีพวกเขาเพิ่ม เยียวยาโควิด-19 เปิดเนื้อหาจม.คำต่อคำ
เศรษฐีโลกอย่างน้อย 83 คน ลงชื่อจดหมายเปิดผนึกขอให้รัฐบาลเก็บภาษีพวกเขาเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบโควิด-19 เปิดเนื้อหาจดหมายคำต่อคำ
มหาเศรษฐีเงินล้าน 83 คนจากสหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี นิวซีแลนด์ แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ รวมตัวภายใต้โครงการ “มหาเศรษฐีเพื่อมนุษยธรรม” (Millionaires for Humanity ) ออกจดหมายเปิดผนึกขอให้รัฐบาลของพวกเขาขึ้นภาษีคนรวยอย่างพวกเขา “ทันที เป็นกอบเป็นกำ และอย่างถาวร” เพื่อนำไปใช้เยียวยาผลกระทบจากโรคโควิด-19 ที่จะยืดเยื้ออีกนานหลายปี โดยผู้ร่วมลงชื่อ อาทิ อาบิเกล และทิม ดิสนีย์ ทายาทอาณาจักรวอลต์ดิสนีย์ เจอร์รี กรีนเฟล์ด ผู้ก่อตั้งไอศกรีม เบน แอนด์ เจอร์รี ริชาร์ด เคอร์ติส ผู้อำนวยการสร้างหนังดัง Love, Actually มอร์ริส เพิร์ล อดีตกรรมการผู้จัดการ BlackRock บริษัทจัดการกองทุน
จดหมายจาก เศรษฐีเพื่อมนุษยธรรม ถึงพลเมืองร่วมโลก ระบุว่า “ขณะที่โควิด-19 โจมตีโลก เศรษฐีอย่างพวกเรา มีบทบาทสำคัญในการเยียวยาโลก พวกเราไม่ใช่คนที่ดูแลคนไข้ในห้องไอซียู เราไม่ได้ขับรถพยาบาลพาคนป่วยส่งโรงพยาบาล เราไม่ใช่คนเติมของบนชั้นซูเปอร์มาเก็ต หรือส่งอาหารตามบ้าน แต่พวกเรามีเงิน จำนวนมากด้วย เงินคือสิ่งที่ต้องการอย่างมากในเวลานี้ และจะยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า ขณะที่โลกของเราฟื้นตัวจากวิกฤติครั้งนี้
ในวันนี้ พวกเรา เศรษฐีที่ลงนามไว้ด้านล่าง ขอให้รัฐบาล ขึ้นภาษีคนอย่างพวกเรา แบบทันที อย่างเป็นกอบเป็นกำ อย่างถาวร
ผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้จะยืดเยื้ออีกหลายสิบปี อาจฉุดประชากรโลก 500 ล้านสู่ความยากจน คนมากมายหลายล้านจะตกงานเพราะธุรกิจปิดตัวและอาจจะถาวร ขณะนี้ มีเด็กเกือบพันล้านคนแล้วที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จำนวนมากเข้าไม่ถึงทรัพยากรที่ต้องมีเพื่อเรียนต่อ และแน่นอนว่าการขาดแคลนเตียงผู้ป่วยในรพ. หน้ากากป้องกันตัวเอง และเครื่องช่วยหายใจ คืออีกความเจ็บปวด คือสิ่งย้ำเตือนว่าการลงทุนในระบบสาธารณสุขทั่วโลกไม่เพียงพอ
ปัญหานานับประการที่โควิด-19 เปิดโปงออกมา ไม่อาจแก้ได้ด้วยการบริจาค ไม่ว่าน้ำใจนั้นจะมากมายแค่ไหนก็ตาม ผู้นำรัฐบาลต้องรับผิดชอบในการระดมทุนที่เราต้องการและใช้จ่ายอย่างเหมาะสม คนอย่างพวกเราสามารถเป็นหลักได้ว่าเราจะให้ทุนสนับสนุนระบบสาธารณสุข โรงเรียนและความปลอดภัยผ่านการขึ้นภาษีอย่างถาวรกับคนรวยที่สุดบนโลกนี้
เราติดหนี้มหาศาลกับคนที่ทำงานด่านหน้าในสมรภูมิระดับโลกครั้งนี้ คนงานสำคัญที่สุด กลับได้รับค่าตอบแทนต่ำเตี้ยกับภาระที่พวกเขาแบกอยู่ ทหารกองหน้าในศึกนี้คือบุคลากรการแพทย์ ซึ่ง 70% เป็นผู้หญิง พวกเขาเผชิญไวรัสมรณะทุกวันในที่ทำงาน แต่ยังต้องแบกความผิดชอบจากงานรายได้ต่ำที่บ้านของพวกเขาในเวลาเดียวกัน
ความเสี่ยงที่ผู้กล้าเหล่านี้รับมาอย่างเต็มใจเพื่อดูแลพวกเราในทุกๆวัน เรียกร้องให้พวกเราต้องจัดวางพันธกรณีใหม่ จับต้องได้ และต่อสิ่งที่มีความสำคัญอย่างแท้จริง
ความเชื่อมโยงระหว่างพวกเราชัดเจนที่สุดแล้ว เราต้องปรับสมดุลโลกใหม่ก่อนจะสายเกินไป ก่อนจะไม่มีโอกาสอีกครั้งให้ทำสิ่งถูกต้อง พวกเราไม่เหมือนกับคนหลายล้านทั่วโลก ที่ไม่มีความวิตกเรื่องตกงาน บ้านของเรา ความสามารถในการเลี้ยงดูครอบครัว เราไม่ได้กำลังต่อสู้อยู่ในแนวหน้าของสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ และเราก็มีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะเป็นเหยื่อ
ดังนั้น ได้โปรด เก็บภาษีพวกเรา เก็บภาษีพวกเรา และเก็บภาษีพวกเรา นั่นคือทางเลือกที่ถูกต้อง เป็นทางเลือกเดียว
ลงท้ายจดหมายว่า มนุษยธรรมสำคัญกว่าเงิน
( ดูรายนามเศรษฐีที่ร่วมลงชื่อ )
ด้าน มอร์ริส เพิร์ล อดีตกรรมการผู้จัดการ BlackRock บริษัทบริหารจัดการกองทุน บอก ซีบีเอส มันนีวอทช์ ว่า ความพยายามขอให้ขึ้นภาษีคนรวย สะท้อนความวิตกว่า ระบบปัจจุบัน ไม่ยั่งยืน “การมีคนรวยไม่เท่าไหร่กับคนจนมหาศาล ไม่เวิร์คแน่นอนในระยะยาว มันอาจสนุกที่ทำเงินได้อีกหลายล้านในเดือนนี้หรือเดือนหน้า แต่ระยะยาว ผมอยากให้ลูกหลานของผม มีโอกาสเหมือนกับที่ผมเคยได้ และพวกเขาจะไม่สามารถทำได้หากเราไม่เปลี่ยนแปลง” เพิร์ล กล่าวด้วยว่า ทรัพย์สินของเขาเพิ่มพูนขึ้นอีกในช่วงโรคระบาด ด้วยรายรับจากราคาหุ้น “ผมรวยกว่าก่อนหน้าโรคระบาดเสียอีก และผมไม่ต้องทำมาหากินด้วยซ้ำ” แต่คนอีกหลายล้านในสหรัฐและหลายประเทศทั่วโลก ไม่ได้ประโยชน์ในแบบเดียวกัน