ข่าว

"ตู่ จตุพร" ลั่น ยืนอยู่บนหลักการ 6 ข้อ "นปช." ไม่เคยเปลี่ยน

"ตู่ จตุพร" ลั่น ยืนอยู่บนหลักการ 6 ข้อ "นปช." ไม่เคยเปลี่ยน

23 ส.ค. 2563

"จตุพร พรหมพันธุ์" ซัดพวกชั่วๆชอบใช้วิธีการสกปรก ปล่อยข่าวบิดเบือนกล่าวหาว่าตนเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ตนยืนอยู่บนหลักการ 6 ข้อ นปช.ไม่เคยเปลี่ยน เเม้ถูกคดียาวเป็นหางว่าวแทบล้มละลาย

วันที่ 23 ส.ค.2563 ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี มีการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ยังคงจัดในรูปแบบสตูดิโอและงดกิจกรรมร้องรำทำเพลง มีเพียงการสื่อสารของประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ไปยังพี่น้องมวลชนเป็นปกติทุกสัปดาห์ 
 
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.กล่าวว่า วันนี้จะสนทนาในเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตนในหัวข้อ ตนเปลี่ยนไปจริงหรือ เพราะกระบวนการที่ไปปล่อยข่าวด้วยเจตนาอะไรก็แล้วแต่ ได้ใช้วิธีสกปรกกันมากมายทั้งที่เนื้อความการต่อสู้ของตน ซึ่งใครหากผ่านเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 จนถึงเมษายน-พฤษภาคมปี 53 และปี 2557 มีอะไรบ้างที่ตนเปลี่ยนไป 

\"ตู่ จตุพร\" ลั่น ยืนอยู่บนหลักการ 6 ข้อ \"นปช.\" ไม่เคยเปลี่ยน

การยืนหยัดต่อสู้ในแนวทางประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้นตนได้ขีดเส้นใต้มาตลอดชีวิตและเป็นอุดมการณ์ของ นปช.6 ข้อ  แต่เมื่อไปอธิบายความกันนั้นกลาย เป็นเสมือนหนึ่งว่านายจตุพรเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการอ้างถึงขนาดว่า เมื่อตนถูกจำคุก มีคนเอาออกมานั้น ตนขอย้ำว่า ตนติดคุกเต็ม 100 % เพราะในระหว่างที่ตนต้องคำพิพากษาจำคุกนั้นไม่มีพระราชทานอภัยโทษระหว่างนั้น  
 
แต่ที่เป็นประเด็นคือ ตนต้องคำพิพากษา 2 คดีคดีแรกในศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ในศาลฎีกากลับคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก 1 ปี ส่วนคดีที่ 2 ลงโทษจำคุกในศาลชั้นต้น 2 ปี ให้นับโทษต่อจากคดีแรก และในขณะสั่งให้นับนั้นคดีแรกยกฟ้องไม่มีโทษอยู่ข้างหน้า ซึ่งไม่สามารถที่จะไปนับโทษต่อได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้นับโทษต่อ ในขณะที่ตนไม่มีโทษในคดีแรกเพราะศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง  
 
แต่เมื่อในคดีแรกศาลฎีกาพิพากษากลับให้ตนจำคุก 1 ปี คดีที่ 2 ลดโทษมา 12 เดือนพร้อมระบุว่าที่เหลือให้เป็นไปตาม ศาลอุทธรณ์ ตนก็ได้ต่อสู้ว่าในขณะที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งให้นับโทษต่อนั้นตนไม่มีโทษอยู่ข้างหน้า และ ศาลฎีกาไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อ ต่อมาก็มีการแก้ในการรับโทษที่เรียกว่านับพร้อม หรือนับคร่อม ตั้งแต่วันที่พิพากษาไปจนสิ้นสุดโทษ 1 ปีกับ 15 วัน ดังนั้นจึงไปเหลื่อมกัน 15 วัน ที่ตนต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะมีคนพยายามอธิบายว่า ตนต้องมีการไปแลกเปลี่ยนอะไรกันมากมาย เมื่อออกจากเรือนจำก็เปลี่ยนแปลงไป  
 
แต่ที่เป็นประเด็นคือหลังจากที่ตนเพิ่งออกจากคุกโจทก์ในคดีนี้ก็ไปร้องต่อศาลชั้นต้นบอกว่าให้นับโทษตนใหม่ ซึ่งศาลชั้นต้นยก แต่ก็ศาลอุทธรณ์กลับบอกให้นับโทษใหม่ ทั้งที่ตนได้ใบบริสุทธิ์มาแล้วพ้นโทษแล้ว และความจริงหลังจากศาลพิพากษานั้นเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับศาล และ ราชทัณฑ์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโจทก์แล้ว เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาสิ้นสุด แต่ตนเป็นคนแรกของประเทศไทย 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ช่วงระหว่างรอฎีกา ตนก็ชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ไปค้นคำพิพากษาของศาลฎีกาย้อนหลังดูว่า พ้นโทษมาแล้ว ให้มีการนับโทษใหม่นั้น มีกรณีตัวอย่างคำพิพากษาในลักษณะเช่นนี้หรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีกรณีตัวอย่างในประเทศไทย นี่จึงเป็นกรณีแรก ซึ่งในขณะนั้นตนจึงหมดที่พึ่งแล้ว ที่ตนบอกว่าจะไปยื่นถวายฎีกาแต่บัดนี้ก็ยังไม่ได้ยื่น ดังนั้นตนถูกจำคุกในคดีนับพร้อมที่เกิดขึ้นทั่วไป เรื่องนี้ก็เป็นการกล่าวหากันโดยเลื่อนลอย แต่ปลายทางตนก็ต้องไปลุ้นกันว่า เรื่องนี้ตนจะเป็นคนแรกของประเทศไทยหรือไม่  
 
ส่วนคดีบ้านสี่เสาเทเวศร์  ผบ.ตร.ในขณะนั้นคือ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวสยื่นฟ้อง และอัยการคดีพิเศษยกฟ้อง เมื่อเปลี่ยน ผบ.ตร.เปลี่ยรัฐบาล ก็มีความเห็นแย้งอัยการ ให้อัยการสูงสุดในขณะนั้นคือ นายชัยเกษม นิติสิริ ปรากฏว่านายชัยเกษมสั่งกลับอัยการของตัวเองให้ไปสั่งฟ้อง โดยคดีนี้อัยการแยกเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนเเรกประกอบ นายวีระกานต์มุสิกพงศ์ นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท เหล่านี้   
 
ส่วนสำนวนที่ 2 ประกอบด้วย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ประธาน นปก.ในขณะนั้น นายจักรภพ เพ็ญแข นายจรัล ดิษฐาอภิชัย พันเอกดร.อภิวันท์ วิริยะชัย และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส่วนที่เหลือเป็นชาวบ้าน แต่กลับมีความพยายามบอกว่านายจตุพรรอดคนเดียวนั้น ตนอยากถามว่ารอดตรงไหน ล่าสุดศาลอาญานัดในคดีนี้วันที่ 21 กันยายนนี้ และในคดีนี้ก็รู้กันอยู่ว่ายังไงก็ไม่รอด เพราะคดีในสำนวนแรกตัดสินจำคุก 2 ปี 8 เดือน ตนก็รอเวลาที่จะเข้าคุกเท่านั้นเอง ดังนั้น ความพยายามที่สกปรกและไม่เข้าท่านั้นก็ไปอธิบายแบบชั่วๆ ให้เข้าใจผิด   
 
รวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีสภาพไม่ต่างกันตั้งแต่หลังรัฐประหาร แม้กระทั้งคดีแพ่ง 1 ใน 2 คดีนั้นศาลวินิจฉัยว่านายจตุพรไม่ได้พูดยุยงปลุกปั่นให้คนเผาบ้านเผาเมือง แต่เนื่องจากเป็นประธาน นปช.ทั้งๆที่ในเวลานั้นเกิดเหตุในนปี 2553 แต่ตนเป็นประธานนปช.ในปี 2557 ให้ชดใช้ค่าเสียงหายรวมดอกเบี้ย กว่า 40 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เรื่องกำลังเข้าสู่กรมบังคับคดี รอสืบทรัพย์พิทักษ์ทรัพย์ แล้วก็ล้มละลาย เหล่านี้ตนอยากถามว่าตนรอดอะไร  
 
นายจตุพร กล่าวถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านการเสนอแก้ไขมาตรา 256 เว้นหมวด 1 และ 2 รวมถึงฝ่ายรัฐบาลก็แถลงว่า ต้องแก้มาตรา 256 เว้นหมวด 1 และ 2  ส่วนในทางปฏิบัติ ที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็ทราบดีว่า ร่างของภาคประชาชน ในวาระที่ 1 ถูกเลื่อนการพิจารณาออกไปทุกครั้ง จนสุดท้ายก็ตกไป ดังนั้นวันนี้ผู้ยื่นแก้ไขจะต้องใช้เสียง 1 ใน 5 เมื่อเข้าสู่สภา ก็ต้องใช้เสียงเกินครึ่งของ 2 สภาคือ 376 เสียง โดยจะต้องมีเสียงของ ส.ว.84 เสียง ดังนั้นจึงเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยากมากที่สุด แต่สิ่งที่ตนพูดคือเราต้องคิดทีละขั้นทีละตอน เบื้องต้นต้องแก้ไขมาตรา 256 ก่อน ยึดอำนาจของส.ส.และส.ว.มาไว้ที่ประชาชนโดยการตั้งส.ส.ร. แต่หากไปยื่นแก้ไขยกเลิก ส.ว.ตนอยากถามว่า ส.ว.จะยอมโหวตปลดตัวเองหรือไม่ พร้อมย้ำการต่อสู้ของนักศึกษาว่าให้ขีดเส้นใต้ 3 ข้อ เป็นการต่อสู้กับรัฐบาลกับรัฐสภา แต่หากนำ 10 ข้อดข้ามานั้น ต้องไปสู้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วรัฐบาลก็ลอยตัว 

\"ตู่ จตุพร\" ลั่น ยืนอยู่บนหลักการ 6 ข้อ \"นปช.\" ไม่เคยเปลี่ยน