เดียร์-วทันยา ชี้ตัดสินใจชะลอซื้อเรือดำน้ำ แสดงความจริงใจ"รบ.-กองทัพเรือ"
"เดียร์-วทันยา" ชี้การตัดสินใจชะลอนำงบฯซื้อเรือดำน้ำ แสดงถึงความจริงใจของ รบ.-กองทัพเรือที่รับฟังเสียงประชาชน นำงบฯกลับมาใช้ตามความจำเป็นมากกว่าใช้แก้ปัญหาปากท้องปชช.ที่ได้รับผลกระทบ"โควิด-19"ทั้งที่การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวพันกับ จีน
"เดียร์-วทันยา วงษ์โอภาสี" กรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี2564 โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า..
หลายๆคนคงทราบข่าวกันไปแล้วกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งให้ชะลอการชำระเงินจัดซื้อ #เรือดำน้ำ จากประเทศจีนในลำที่ 2-3ออกไปก่อนอีก 1 ปี เพื่อนำงบประมาณของปี 2564 จำนวน 3,925 ล้านกลับมาใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆตามความจำเป็นมากกว่า โดยเฉพาะใช้ดูแลและแก้ปัญหาปากท้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
การตัดสินใจชะลอการชำระเงินของรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลและกองทัพเรือ ที่ยึดโยงรับฟังเสียงของประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกองทัพเรือเอง ก็เคยเจรจากับจีนเพื่อขอเลื่อนจ่ายเงินในงวดปี 2563 มาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อนำเงินจำนวน 3,375 ล้านบาทกลับมาสนองนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการนำเงินมาช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การชะลอการชำระเงินจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่กองทัพเรือต้องกลับไปเจรจากับทางการจีนเพื่อบรรเทาความกังวลของประชาชนในการใช้งบประมาณภายใต้วิกฤตการณ์โควิด-19
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น อินเดีย พม่า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนว่ายังไม่มีทีท่าจะเอาอยู่ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ด้านต่างๆของรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงยังคงต้องระวังในการเตรียมความพร้อมรับมือหากการแพร่ระบาดโควิด-19 กลับมาในระลอกสอง
เดียร์เองนอกจากจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือส.ส. ที่กินเงินเดือนภาษีของประชาชนแล้ว อีกหนึ่งบทบาทคือการทำหน้าที่ในฐานะ #กรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี2564 ที่ต้องพิจารณาการใช้งบประมาณภาษีของประชาชนให้เกิดความคุ้มค่า ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกับประชาชนคนอื่นทั่วไป โดยมองว่าเรื่องปากท้องและความปลอดภัยของประชาชนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด
จริงอยู่แม้ความผูกพันทางเอกสารในส่วนของการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 จากประเทศจีน จะไม่มีผลใดๆต่อความเสียหายของประเทศไทยในทางตรง ซึ่งสิ่งที่เรากำลังถกเถียงในวันนี้คือการจัดซื้อเรือดำน้ำ
แต่ในอีกด้านหนึ่งที่คงต้องหยิบยกไว้เป็นประเด็นให้คำนึงถึง คือ “วันนี้ประเทศไทยเข้าไปมีข้อตกลงผูกพันกับจีน” เราจำเป็นต้องรักษาความน่าเชื่อถือ เกียรติภูมิของประเทศ อีกทั้งเรากับจีนก็มีความผูกพันกันในแทบทุกมิติไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมประเพณี มีชายแดนที่ติดต่อกันและมีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกันมา ดังนั้นการตัดสินใจดังกล่าวจึงเป็นเรื่องละเอียด
อ่อนที่ต้องนำองค์ประกอบมาพิจารณาให้ครบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วันนี้สถานการณ์โลกภายใต้สงครามทางการค้าของจีนและสหรัฐ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เราเองยังต้องการพึ่งพาประเทศจีน เช่น เป็นที่ทราบกันดีว่านักท่องเที่ยวจีนเดิน
ทางเข้ามาบ้านเราสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง เฉลี่ย 10 ล้านคนต่อปี หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาทั้งหมด 40 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ให้ประเทศไทย 6 แสนล้านบาทในปี2562
ขณะเดียวกันการส่งออกของประเทศไทยไปยังจีนที่ในแต่ละปีเราสร้างรายได้จากการส่งออกเฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท นั่นยังไม่รวมถึงนักลงทุนจากประเทศจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศอีกนับไม่ถ้วนโครงการ
สุดท้ายวันนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ2564 ทุกคนมีมติเอกฉันท์ให้งบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3,925 ล้านบาทตกไปเพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้ในกิจการอื่น ในส่วนของขั้นตอนตาม พรบ.งบประมาณหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานซึ่งก็คือกองทัพเรือ จะเป็นผู้พิจารณานำเสนอในแผนงบประมาณอีกครั้งซึ่งแผนดังกล่าวจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาของกองทัพเรือกับจีนค่ะ