"ศรีสุวรรณ" นำกลุ่มหาบเร่แผงลอย เรียกร้องนายกฯ ปลดผู้ว่ากทม.
"ศรีสุวรรณ" นำกลุ่มหาบเร่แผงลอย เรียกร้องนายกฯ ปลดผู้ว่ากทม. เหตุออกประกาศกระทบชาวรากหญ้า ซ้ำยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
11 ก.ย.2563 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายศรีสุวรรณ จรรยา นำตัวแทนพ่อค้าหาบเร่-แผงลอยทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร เดินทางมายื่นคำร้องต่อนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอให้สั่งปลดผู้ว่ากรุงเทพมหานคร นายอัศวิน ขวัญเมือง ที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล และเร่งรีบดำเนินการให้ความช่วยเหลือหาบเร่-แผงลอยให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาและให้เป็นไปตามนโยบายของ ศบค.เศรษฐกิจต่อไปด้วย
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 25 ก.ค.2562 ที่ผ่านมาโดยเฉพาะการกําหนดเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการ เพื่อบรรเทาปัญหาและลดผลกระทบกับประชาชน และระบบเศรษฐกิจ เรื่องแรกที่ต้องรีบเร่งดำเนินการคือ การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน โดยลดข้อจํากัดในการประกอบอาชีพของคนไทย การทบทวนรูปแบบและมาตรฐานหาบเร่แผงลอยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยังคงเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งร้านอาหารริมถนน นั้น
แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ ลงวันที่ 28 ม.ค.2563 แล้วก็ตาม แต่ทว่าเป็นประกาศที่มีเงื่อนไขที่บีบรัดจนไม่สามารถปฏิบัติได้ และปรากฏว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของคน กทม. ได้ยกเลิกจุดผ่อนผันไปแล้วกว่า 508 แห่งคงเหลือจุดที่ผ่อนผันให้ขายได้เพียง 175 แห่งเท่านั้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อหาบเร่-แผงลอยมากกว่า 170,000 ราย ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค คนยาก คนจน ในระดับรากหญ้า ที่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุตที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 อย่างมาก เพราะไม่มีศักยภาพที่เพียงพอที่จะไปซื้อหาอาหารหรือสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ต ห้างสะดวกซื้อ หรือคอนวีเนียนสโตร์ขนาดใหญ่ได้ หาบเร่-แผงลอยจึงที่ที่พึงที่ดีที่สุดของคนยากคนจน คนทำงานระดับกลางจนถึงล่างอยู่ในขณะนี้
การที่กรุงเทพมหานครใช้มาตรการกำจัดจุดผ่อนผันหรือยกเลิกมิให้มีหาบเร่-แผงลอยเป็นจำนวนมากดังกล่าว ทำให้เกิดการสูญเสียรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากไม่น้อยกว่า 67,728 ล้านบาทต่อปี และหากจะพิจารณาในการประกอบการค้าหาบเร่-แผงลอยและสตรีทฟู๊ดสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อย 675,162 ล้านบาทต่อปี การที่ กทม.ไม่ส่งเสริมอาชีพหาบเร่-แผงลอย ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสในการสร้างรายได้ หรือการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP หลายล้านล้านบาทเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยอยู่ว่า การที่ กทม.ฝ่าฝืนนโยบายของรัฐบาลโดยการยกเลิกจุดผ่อนผันไปเป็นจำนวนมากนั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แต่เฉพาะร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วทุกตรอกซอกซอย ทั่วเมือง ทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ด้วยหรือไม่ ทั้งๆ ที่ขณะนี้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่-แผงลอยได้มีการรวมตัวกันตั้งคณะกรรมการในการบริหารเพื่อจัดระเบียบแผงค้าด้วยกันเอง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาด ไม่กีดขวางทางเท้า ไม่ล้ำผิวทางจราจร ไม่ขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย ตามเงื่อนไขของทางราชการแล้วก็ตาม
ทั้งนี้เครือข่ายหาบเร่-แผงลอย มีข้อเสนอเร่งด่วน 4 ข้อ ดังนี้
1.ขอให้นายกรัฐมนตรีสั่งการไปยังผู้ว่าราชการมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้ดำเนินการส่งเสริมอาชีพหาบเร่-แผงลอย ให้เป็นไปตามนโยบายที่นายกฯได้แถลงต่อสภาฯ โดยการแก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตของประชาชน
2. สั่งการให้กรุงเทพมหานครจัดหาสถานที่หรือตั้งจุดค้าขายให้เป็นอย่างถูกต้อง และยกเลิกเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าขาย
3. สั่งการให้กรุงเทพมหานครแก้ไขและปรับปรุงประกาศกรุงเทพมหานคร และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าขายหรือจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ
4. หากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อสั่งการของนายกฯและศบค.เศรษฐกิจ ตามข้อ1-3ข้างต้น หรือไม่มีเหตุผลอันสมควรขอได้โปรดใช้อำนาจตามพรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และที่แก้ไขเพิ่มเติมประกอบพรบ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร สั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา สั่งปลดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดังกล่าว