ข่าว

3 แกนนำนักเรียน เข้ารับข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

3 แกนนำนักเรียน เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สน.ลุมพินี ทนายความเผยปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมตั้งข้อสังเกตุเพิ่มกระบวนเกินจำเป็นหรือไม่ หลังทราบว่าจะต้องส่งตัวไปศาลพินิจและคุ้มครองเด็ก หนึ่งในแกนำเผย ให้จับตา ดาวกระจาย

ช่วงบ่ายวันนี้ นายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือ มิน /น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นักเรียนเลว และนายคณพศ แย้มสงวนศักดิ์ แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่านักเรียนไท พร้อมทนายความ และผู้ปกครอง เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของ สน.ลุมพินีในข้อหา ฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
โดยนางสาวคุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บอกก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากพฤติการณ์ในการชุมนุมวันที่ 15 ตุลาคม และยังไม่ทราบรายละเอียดพฤติการณ์ที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งทั้งหมด

ทั้งนี้ แนวทางการช่วยเหลือของทนาย ทั้งสามคนจะให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมโต้แย้งในพฤติการณ์รายละเอียดของข้อกล่าวหาโดยคดีนี้มีโทษจำคุกไม่เกิน2ปีปรับไม่เกิน 40,000บาท

 ทนายความฯ มองว่า การที่เยาวชนออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศ ที่ให้สิทธิชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และกลุ่มนักเรียนเลว เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธอยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญซึ่งการที่เยาวชนออกมาเรียกร้องต่อรัฐและกระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นการเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ต้องตั้งคำถามกับรัฐ ว่าการดำเนินคดีขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กหรือไม่

 รวมถึงตั้งข้อสังเกตุว่า วันนี้เมื่อให้การปฏิเสธ ตามขั้นตอนก็จะต้องปล่อยตัวเพราะมีผู้ปกครองมารับตัวเยาวชนทั้ง3คน และสามารถนัดหมายมาพบกับพนักงาตสอบสวนเพื่อส่งสำนวนหรือสอบคำให้การเพิ่มเติมแต่เจ้าหน้าที่จะนำตัวทั้ง3คนไปตรวจสอบการรับทราบข้อกล่าวหาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อรายงานต่อสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องไปเพราะเป็นการมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ไม่ได้ตามหมายจับ จึงมองว่าเป็นการเพิ่มกระบวนการที่เกินจำเป็นหรือไม่

ขณะที่นายลภนพัฒน์  บอกด้วยว่า การชุมนุมเป็นเสรีภาพอย่างหนึ่ง และการโดนโทษ ก็มองว่าไม่ยุติธรรม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการทางกฎหมายว่าจะยังไงต่อไป และในฐานะประชาชนก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

ส่วนคดีที่โดนคือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง และหากดูจากพฤติการณ์ สิ่งที่ขึ้นตนเองขึ้นปราศรัยคือการร้องเพลงแจวเรือ ทำให้รู้สึกตลกที่มาแจ้งข้อกล่าวหา จึงมองว่า ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรกับการถูกดำเนินคดีแม้จะเป็นคนร่วมชุมนุมหรืออยู่บนเวทีมองว่าเจ้าหน้าที่รัฐก็ควรจะดูพฤติการณ์ด้วยเพราะเชื่อว่าพฤติการณ์ของตนเองเกี่ยวข้องกับการเมืองน้อยมาก และการแสดงออกด้วยเสียงเพลงไม่น่าจะผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

 ทั้งนี้การออกไปชุมนุมทางการเมืองควรเป็นเสรีภาพที่ประชาชนกระทำได้ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กก็รองรับไว้ แต่เมื่อออกไปทำกลับโดนดำเนินคดี ดังนั้นต้องตั้งคำถามว่า เหมาะสมหรือไม่ และสิ่งที่พวกตนโดนแสดงให้เห็นว่ารัฐไม่ปกติ พยายามเล่นงานคนที่ต่อต้านรัฐ และการออกหมายเรียกไม่สามารถหยุดกระบวนการเรียกร้องได้ ต่อให้แกนนำถูกจับหมดก็ตามเพราะการเรียกร้องเป็นเรื่องของอุดมการณ์ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลที่จะสูญสลายหายไป

 ส่วนพรุ่งนี้ที่จะมีกิจกรรมรณรงค์ให้ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน นายลภนพัฒน์ บอกด้วยว่า อยากเห็นการต่อต้านอำนาจรัฐ และการไม่ใส่เครื่องแบบไปไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับนักเรียน และส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไร นอกจากกังวลว่าครูอาจจะกลั่นแกล้งนักเรียนหรือไม่ เพราะครูบางส่วนยังไม่เข้าใจสิทธิและเสรีภาพของนักเรียน จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันติดตามด้วย  ทั้งนี้มองว่าการใส่ชุดไปเวท คือ การตั้งคำถามต่ออำนาจที่กดทับ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การปฏิรูปเพราะการปฏิรูปอยู่ที่อำนาจของรัฐและการแต่งกายเป็น1ในข้อรียกร้องของนักเรียนเลวด้วย

ส่วนนายคณพศ มองว่า การที่รัฐทำแบบนี้กับประชาชนถือเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะรัฐไม่ควรใช้ข้อกล่าวหากับคนที่ออกมาพูดความจริง โดยเฉพาะการกระทำกับเด็กและเยาวชน 

หลังใช้เวลานานกว่า6ชั่วโมงในการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของ 3แกนนำกนักเรียน ในข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตามหมายเรียกของ สน.ลุมพินี เสร็จสิ้น
  นางสาวคุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชี้แจงว่า การดำเนินคดีวันนี้เป็นการรับทราบข้อกล่าวหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีพฤติการณ์ว่า ไปร่วมปราศรัยในการชุมนุมวันที่ 15 ตุลาคม และเนื่องจากเป็นเยาวชนจึงมีสหวิชาชีพ ผู้ปกครอง และ บุคคลที่3แกนนำไว้วางใจคือ ส.ส.พรรคก้าวไกล เข้าร่วมทำการสอบสวนด้วย  ซึ่งทั้ง3คนให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอทำคำให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรกับพนักงานสอบสวนภายใน30วัน
   โดยยืนยันว่า การชุมนุมการปราศรัย เป็นการแสดงออกที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ และอนุสัญญาสิทธิเด็กรับรองไว้ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเด็กมีสิทธิที่แสดงออกและตั้งข้อสังเกตุการทำงานของระบบการศึกษาและหระทรวงศึกษาธิการ 
   และในวันนี้หลังรับทราบข้อกล่าวหาเสร็จสิ้นก็สามารถเดินทางกลับได้เลยไม่ต้องไปศาลเด็กและเยาวชนกลางเพื่อไต่สวนการจับกุม เพราะไม่ใข่การถูกจับแต่เป็นการมาตามหมายเรียก
   โดยหลังจากนี้จะนัดหมายกับพนักงานสอบสวนเพื่อไปพบสถานพินิจในภายหลัง

โปรลาซาด้า

3 แกนนำนักเรียน เข้ารับข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน